THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย Frederic Mousseau
วันที่ 25 มีนาคม 2019
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย Kristen Lyons

สวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์คือผู้ที่ทำให้เกิดการยึดที่ทำกินในอูกานดา

Green Resources จะไม่สามารถดำเนินการใน Kachung ได้หากปราศจากทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ ดังนั้นรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ถือเป็นผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

กระทรวงพลังงานของประเทศสวีเดน (SEA) คือผู้ซื้อ carbon credit รายเดียวของ Green Resources โดยได้ทำสัญญาซื้อขายคาร์บอนปริมาณ 365,000 ตันคิดเป็นเงิน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รายงานการสอบทานธุรกิจสำหรับสัมปทานของ SEA ในปี 2011 ระบุว่าชุมชนท้องถิ่นได้ใช้ที่ดินที่เป็นสิทธิของ Green Resources มาเป็นเวลาหลายปีและกรมป่าไม้ของประเทศอูกานดาได้ใช้กำลังขับไล่ชาวนาออกไปจากที่ดินสัมปทานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม SEA เลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำร้องของชาวนาว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินสัมปทานแต่เป็นเพียงป่ารกร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆ หลังจากที่สื่อมวลชนรายงานข้อมูลที่สอดคล้องกับข้อมูลผลกระทบจากโครงการที่นำเสนอโดย Oakland Institute ทาง SEA จึงได้ประกาศหยุดการให้ทุนแก่ Green Resources เป็นการชั่วคราวในปี 2015 อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 นาย Robert Andrén อธิบดีคนใหม่ของ SEA ได้ออกมากล่าวปฏิเสธการหยุดให้การสนับสนุนเป็นการชั่วคราวนั้นว่าไม่เป็นความจริง

หลังจากที่ Oakland Institute ได้แสดงหลักฐานไล่ที่ทำกินชิ้นแรกต่อสาธารณะ บริษัท Phaunos Timber Fund Ltd. ซึ่งถือหุ้น Green Resources ร้อยละ 14 ได้ขายหุ้นออกทันทีโดยให้เหตุผลว่าเป็นกิจการที่ “มีความเสี่ยงสูงหรือผลตอบแทนต่ำ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Green Resources ก็ประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินมาโดยตลอด รวมถึงปัญหาการดำเนินคดีระหว่างนาย Mads Asprem ผู้ก่อตั้งอดีตกรรมการบริหารขององค์กรและนาย Edvin Austbø ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นร่วมทุนในบริษัท Nordic Property Holdings ในข้อหาไม่ชำระหนี้และนำเงินของเจ้าหนี้ไปเก็งกำไรหุ้น เมื่อ Green Resources ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้เนื่องจากเงินทุนจากภาคเอกชนไม่เพียงพอ รัฐบาลนอร์เวย์และฟินแลนด์จึงเข้าลงทุนในกิจการ

ในปัจจุบัน สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศฟินแลนด์หรือ Norfund ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงด้านการลงทุนในธุรกิจอาหารและการเกษตร ได้ก้าวเข้ามาเป็นแหล่งทุนใหญ่ของโครงการ Green Resources ในสองสามปีที่ผ่านมา แทนที่ Norfund จะเห็นปัญหาในโครงการดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น กลับเพิ่มเงินลงทุนให้แก่โครงการ Green Resources เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้จากมูลค่าการลงทุนเดิมที่ 23 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม 2018 Norfund กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ GRreen Resources ด้วยการถือหุ้นร้อยละ 51 หลังจากที่ได้ซื้อหุ้นมูลขององค์กรเพิ่มอีก 147 ล้านหุ้น ในเดือนธันวาคม ปี 2018 เงินลงทุนรวมของ Norfund ใน Green Resources คิดเป็นมูลค่า 27.8 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และในเดือนพฤษภาคม ปี 2019 Norfund ถือหุ้นรวมทั้งสิ้นคิดเป็นร้อยละ 67

ในปี 2016 Norfund ประกาศว่าทางสถาบันจะเริ่มกระบวนการ “ตรวจตราการดำเนินงานโดยอิสระ” ซึ่งรวมถึงการตรวจบัญชีสองครั้งต่อปี อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากไม่มีรายงานที่เผยแพร่สู่สาธารณชน และการที่ Norfund ให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างมากมายแก่ Green Resources เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจเมื่อพิจารณาถึงความล้มเหลวทางการเงินในอดีต การขาดผลงานที่เป็นรูปธรรม และผลกระทบที่ก่อให้เกิดแก่ชุมชนท้องถิ่น

ทุนเพื่อการพัฒนาของรัฐบาลฟินแลนด์หรือ Finnfund มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูสภาพคล่องทางการเงินของโครงการ Green Resources เงินที่ Green Resources กู้ยืมจาก Finnfund มูลค่า 10 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯในปี 2012 เพิ่มสูงขึ้นอีกร้อยละ 50 เป็น 14.77 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯในปี 2018 เมื่อรวมกับเงินทุนจาก Norfund แล้ว Finnfund ได้แปลงหนี้สินของ Green Resources เป็นหุ้นและเข้าถือหุ้นส่วนใหญ่ในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Finnfund ได้เริ่มสนับสนุนการปลูกป่าเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ “เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ก่อให้เกิดการพัฒนา การจ้างงาน และความเป็นอยู่ที่ดี” เช่นเดียวกับ Norfund ที่ Finnfund ได้เพิกเฉยต่อหลักฐานความล้มเหลวของ Green Resources ในการปฏิบัติตามพันธสัญญาตั้งแต่ต้น ต่อมาในปี 2017 Finnfund ปฏิเสธข่าวต่อต้าน Green Resources ที่เผยแพร่โดย Finnish Broadcasting Company (YLE) โดยอ้างว่าเป็นข่าวที่ “มีข้อเท็จจริงที่บกพร่อง” และ “ข้อพิพาทเรื่องที่ดินในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว” การปฏิเสธหลักฐานเช่นนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะความร่วมมือจากสถาบันรับรองและบริษัทตรวจบัญชีที่ทำหน้าที่บิดเบือนข้อเท็จจริงของผลกระทบที่เกิดจากโครงการ

Green Resources ได้รับการรับรองจากสามสถาบัน Forest Stewardship Council (FSC), the United Nations’ Clean Development Mechanism (CDM), และ Climate, Community, and Biodiversity Alliance (CCBA) สภา FSC ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันกำหนดมาตรฐานชั้นสูงของการบริหารจัดการป่าอย่างมีความรับผิดชอบ การจะได้รับการรับรองจากสภานี้จะต้องผ่านการตรวจประเมินพื้นที่ทุกปีเพื่อรับรองประสิทธิภาพของโครงการในด้านการจัดการปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานของ Green Resources ในเขต Kachung ได้รับการตรวจสอบโดยสถาบันรับรองชื่อ SGS ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของ FSC สถาบันรับรอง SGS เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในอาฟริกาใต้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจรับรองโครงการที่เกี่ยวกับป่า ใบอนุญาตของโครงการ Green Resources ในเขต Kachung ที่ออกให้โดย FSC นั้นเพิ่งได้รับการต่ออายุไปในเดือนพฤษภาคม 2019 หลังจากการเข้าตรวจพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 รายงานประกอบใบอนุญาตชี้แจงว่าในพื้นที่โครงการ “ไม่มีข้อพิพาทระหว่างโครงการและผู้ถือครองที่ดินในด้านสิทธิทำกิน” เนื่องจาก “มีกระบวนการจัดการคำร้องทุกข์และข้อพิพาทที่มีประสิทธิภาพที่ได้รับการยอมรับจากชุมชนท้องถิ่น” นอกจากนี้ สถาบันรับรอง SGS ยังได้อ้างว่าได้แก้ไขปัญหาเรื่องเส้นแบ่งเขตแล้ว และไม่พบข้อร้องทุกข์ในช่วงการตรวจพื้นที่ระหว่างปี 2011-2018

สถาบันรับรองและผู้บริจาคทุนแก่ GREEN RESOURCES

รายงานดังกล่าวมิได้กล่าวถึงปัญหาหรือข้อร้องทุกข์ที่ Oakland Institute และสื่ออิสระอื่นๆ ตรวจพบและบันทึกไว้ ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อหารายงานการตรวจพื้นที่ของ SGS ขัดแย้งกันกับรายงานตรวจประสิทธิภาพโครงการที่จัดทำโดย EOH ซึ่งรับมอบหมายงานจาก SEA ในเดือนมีนาคม ปี 2017 เพื่อประเมิน “ผลกระทบทางสังคม” ของโครงการ โดยผลการตรวจอ้างว่าโครงการสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางที่ดินทันทีที่พบ ซึ่งปรากฏว่ารายงานของ SGS มิได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปี 2008 ที่ชาวบ้านจำนวนกว่า 300 คนยื่นฟ้องโครงการ Green Resources ต่อศาลและเรียกร้องค่าชดเชยจากการสูญเสียที่ดิน และถึงแม้ว่ารายงานของ EOH จะแนะนำให้ผู้บริหารโครงการยุติคดีดังกล่าวโดยเร็ว คดีก็ยังคงค้างคาอยู่ในชั้นศาลกว่าสองปีหลังจากการรายงาน นอกจากนี้บริษัทยังรายงานว่า “ไม่มีผู้ถูกขับไล่ออกจากที่ดินของตน” และทางบริษัทมิได้ “ได้ที่ดินในเขต Kachung มาด้วยการใช้กำลังบังคับ” ประกาศและจดหมายขับไล่ที่แสดงข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าบริษัทรายงานเท็จ ความขัดแย้งในเนื้อหาของรายงาน SGS และรายงานของสื่อและองค์กรอิสระแสดงให้เห็นว่า FSC คือความล้มเหลวที่อนุญาตให้โครงการนี้ดำเนินต่อไป

(อ่านต่อวันอังคาร)


อ้างอิง  https://www.oaklandinstitute.org/sites/oaklandinstitute.org/files/evicted-carbon_0.pdf


Social Share