เขียนโดย Isabelle Gerretsen
วันที่ 19 ตุลาคม 2021
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย Getty Images
![](https://www.thaiclimatejusticeforall.com/wp-content/uploads/2022/05/279349827_320935993480981_1424269878420541599_n-1024x466.jpg)
ในเดือนกรกฎาคม ไฟป่าลุกลามทั่วทางตอนเหนือของอเมริกา ในรัฐโอเรกอน ไฟ Bootleg ทำลายป่ากว่า 400,000 เอเคอร์ และเมื่อต้นไม้จำนวนมหาศาลถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ปริมาณการชดเชยคาร์บอนก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว รวมถึงคาร์บอนที่บริษัทอย่าง BP และ Microsoft ได้ซื้อไปแล้ว
ไฟป่า Bootleg แสดงให้เราเห็นถึงข้อบกพร่องของกลไกตลาดคาร์บอน ได้แต่คำถามที่ว่าเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าโครงการดูดซับคาร์บอนที่เราซื้อจะยังคงอยู่ในอีก 10 หรือ 100 ปีข้างหน้า เมื่อภาวะโลกร้อนจะทำให้ไฟป่าและภัยแล้งเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น
คำถามคือว่าระบบชดเชยคาร์บอนจะช่วยให้เราลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเพียงพอที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนจริงหรือไม่?
กลไกตลาดคาร์บอนจะเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุม COP26 ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ณ กรุงกลาสโกว รัฐบาลของประเทศต่างก็กล่าวว่าคาร์บอนเครดิตและระบบการซื้อขายสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
แต่นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมไม่เห็นด้วยและเตือนว่าตลาดคาร์บอนจะทำให้ประเทศร่ำรวยสามารถปล่อยก๊าซกันได้ต่อไป
ก่อนหน้าการประชุมก็มีกลุ่ม Future Planet ได้ทำการวิเคราะห์ไว้ว่าตลาดคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพควรมีหน้าตาเช่นไร และจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อปริมาณก๊าซโดยรวมของโลกได้ในระดับใด
ตลาดคาร์บอนนานาชาติ
นักเศรษฐศาสตร์ได้คิดค้นกลไกตลาดคาร์บอนเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมเกิดความกระตือรือร้นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยให้ค่าตอบแทนในการกระทำดังกล่าว โดยแนวคิดได้แก่ ถ้าประเทศหนึ่งจ่ายเงินให้อีกประเทศหนึ่งทำการดูดซับก๊าซ อย่างเช่นด้วยการปลูกป่าหรือใช้พลังงานทางเลือกแทนพลังงานถ่านหิน กิจกรรมเช่นนี้ก็จะถูกนับเสมือนหนึ่งว่าประเทศที่จ่ายเงินนั้นได้ดำเนินการเอง
เป้าหมายหลักคือทุก ๆ ตันคาร์บอนที่ปล่อยสู่บรรยากาศจะมีอีกตันคาร์บอนหนึ่งที่ถูกดูดกลับสู่พื้นโลก และประเทศต่าง ๆยังสามารถซื้อขายคาร์บอนเครดิตกันได้อีกด้วยโดยมีหน่วยการซื้อขายเป็นตันคาร์บอน
ในทางทฤษฎีแล้ว การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ควรจะหักลบกันหมดดังนั้นปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศโลกจากกิจกรรมของมนุษย์จึงจะไม่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม พบว่าการตั้งตลาดคาร์บอนนั้นมีอุปสรรคมากมาย กว่า 30 ปีที่หลายประเทศได้ทดลองและล้มเหลวในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม ย้อนไปตั้งแต่พิธีสารเกียวโตที่นานาชาติลงนามกันในปี 1997 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกลไกพัฒนาพลังงานสะอาดหรือ Clean Development Mechanism (CDM) และต่อมาคือตลาดคาร์บอนในปี 2006 ภายใต้กลไก CDM นี้ ประเทศที่ร่ำรวยกว่าสามารถหลีกเลี่ยงการลดปล่อยก๊าซได้โดยตั้งโครงการดูดซับคาร์บอนในประเทศกำลังพัฒนาเพื่อการชดเชย
พิธีสารเกียวโตได้กำหนดกลไก “cap and trade” ขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่จำกัดปริมาณก๊าซที่ปล่อยจากแหล่งที่มีความหนาแน่นสูงเช่นภาคขนส่งและพลังงานในระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ สหภาพยุโรปได้สร้างระบบแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตที่อยู่บนพื้นฐานของ cap and trade ระบบแรกของโลกขึ้นในปี 2005
จากงานวิจัยในปี 2020 พบว่าระบบนี้ได้ลดการปล่อยก๊าซลงกว่าหนึ่งพันล้านตันคาร์บอนในช่วงปี 2008-2016
ในทางตรงข้าม ระบบ CDM ประสบความล้มเหลวจากความกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คอร์รัปชั่น และการละเมิดสิทธิมนุษยชน 85% ของโครงการ CDM ของสหภาพยุโรปไม่สามารถลดปริมาณกาปล่อยก๊าซลงได้ จากรายงานของคณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรปในปี 2017
ในปี 2015 กว่า 190 ประเทศได้ลงนามในข้อตกลงปารีสและตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ภายใต้มาตราที่ 6 แห่งสาระสำคัญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ประเทศสมาชิกทำข้อตกลงตั้งตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวที่ CDM เผชิญมา
จากนั้นมาเป็นเวลา 6 ปี ประเทศที่ลงนามได้เร่งออกกฎข้อบังคับต่างๆมากมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสและเพื่อให้ทันการประชุม COP26 ในเดือนพฤศจิกายน ทว่าเมื่อถึงเวลาประชุม การดำเนินการยังคงอยู่ในขั้นตอนของการออกแบบตลาดคาร์บอนเท่านั้น
นักวิชาการบางรายได้แสดงข้อกังวลว่าข้อโต้แย้งที่ยังไม่สามารถลงมติได้อาจสนับสนุนหรือทำลายข้อตกลงปารีสก็ได้ “นี่เป็นสิ่งที่นานาชาติได้ลงนามให้คำมั่นไว้”
นาง Cynthia Elliott นักวิชาการโครงการสภาพภูมิอากาศโลกที่ World Resources Institute กล่าว “ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานี้ได้ ข้อตกลงปารีสก็จะขาดน้ำหนัก”
แต่ถ้าเรานำมาปฏิบัติอย่างถูกต้อง กลไกการซื้อขายนี้จะสามารถลดการปล่อยก๊าซลงได้ถึงสองเท่าและทำให้ต้นทุนการลดปล่อยก๊าซลดลงอย่างมาก
จากข้อเสนอแนะของกลุ่ม Environmental Defense Fund โครงการชดเชยคาร์บอนสามารถระดมทุนให้แก่ประเทศยากจนเพื่อสร้างงานด้านการตั้งรับปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนเช่นการเสนอค่าแรงให้แก่ชาวบ้านเพื่อการฟื้นฟูป่าและความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ถ้านานาชาติไม่สามารถปิดช่องว่างของกฎหมายหรือทำให้ตลาดคาร์บอนสามารถลดก๊าซได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลาดคาร์บอนจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
หลุมพราง
ปัญหาใหญ่ของกลไกตลาดคาร์บอนในปัจจุบันได้แก่ “แนวทางที่กว้างมากในการคำควณเครดิต” นาย Lambert Schneider ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดคาร์บอนแห่ง Öko-Institut กล่าว “หลายโครงการชดเชยคาร์บอนได้รับการอนุมัติทั้งที่ไม่มีหลักประกันว่าปริมาณการปล่อยก๊าซจะลดได้จริง ในความเป็นจริงแล้ว เงื่อนไขปริมาณการดูดซับก๊าซที่โครงการคาร์บอนเครดิตต้องทำให้ได้นั้นสูงเกินความเป็นจริงไปมาก”
นาย Grayson Badgley นักวิชาการด้านป่าไม้แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าว “หลักการนั้นสมบูรณ์แบบ แต่ในทางปฏิบัติแล้วเกิดปัญหาแน่นอน “
ยกตัวอย่างเช่นโครงการชดเชยคาร์บอนของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ผลิตคาร์บอนเครดิตจำนวน 20-39 ล้านหน่วยนั้นยังมิได้บรรลุเป้าหมายด้านการดูดซับคาร์บอนเลยแม้แต่น้อยตามรายงานของ CarbonPlan ซึ่งเป็นองค์กร NGO ที่มีเป้าหมายในการหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนกลไกการชดเชยคาร์บอน
เรื่องนี้ก่อให้เกิดคำถามต่อองค์กรที่มีเป้าหมายเพื่อการอนุรักษ์ป่าแต่กลับฟื้นฟูป่าเพื่อขายเครดิตแก่ภาคเอกชนเพื่อจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อ หลายองค์กรอนุรักษ์ในสหรัฐอเมริการวมไปถึง Nature Conservancy (TNC) และ Northeast Wilderness Trust ได้เข้าร่วมโครงการตลาดคาร์บอน และ Badgley ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “อะไรจะเกิดขึ้นถ้าไม่มีการแลกเปลี่ยนเงินตราเพื่อคาร์บอนเครดิต? มันจะทำให้ป่าตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะถูกตัดถางหรือไม่?”
ระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทำให้ “เจ้าของที่ดินพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารที่ดินของคนเพื่อนับเป็นคาร์บอนเครดิตอยู่แล้ว” นาง Barbara Haya ผู้อำนวยการโครงการตลาดคาร์บอนแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว
อย่างไรก็ตาม TNC ชี้ให้เห็นว่ามีสถานการณ์ที่การอนุรักษ์ป่าสามารถใช้คาร์บอนเครดิตได้อย่างสมเหตุผล เช่นการนำทุนมาใช้เพื่อการพัฒนาการบริหารจัดการป่าเพื่อให้ดูดซับคาร์บอนได้มากขึ้น ที่อุทยานแห่งชาติ St John River ในรัฐเมน องค์กรได้ซื้อที่ป่า 750 ตารางกิโลเมตรจากบริษัทผลิตเยื่อกระดาษรายหนึ่ง และในอีก 20 ปีต่อมาป่าแห่งนี้ได้ผลิตไม้ที่เป็นแหล่งรายได้หลักให้แก่ TNC และถ้า TNC สามารถแปลงป่านี้จากการผลิตไม้เป็นป่าเพื่อการผลิตคาร์บอนเครดิต ก็จะทำให้องค์กรไม่ต้องล้มต้นไม้ เป็นการอนุรักษ์ป่าได้อีกทางหนึ่งด้วย
“ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา การขายไม้เป็นแหล่งรายได้หลักของ TNC และถ้า TNC เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นการผลิตคาร์บอนเครดิตนั่นหมายความว่า TNC จะต้องเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการที่ป่าเพื่อการเก็บกักคาร์บอนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” โฆษกของ TNC ชี้แจง
องค์กร Northeast Wilderness Trust ก็ให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างกลไกชดเชยคาร์บอนที่มีการตัดไม้ตามมากับไม่มีการตัดไม้ โครงการ Wild Carbon ขององค์กรนั้น “อุทิศให้แก่การผลิตคาร์บอนเครดิตจากป่าที่จะไม่ถูกตัดโค่นในภายหลัง “ นาย Jon Leibowitz ผู้บริหารองค์กรกล่าว
“คำพูดที่ว่าองค์กรอนุรักษ์มีภารกิจที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของตลาดคาร์บอนนั้นไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด”
นาย Leibowitz ชี้แจง “มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าป่าที่มีอายุมาก ๆ จะดูดซับคาร์บอนได้ดี ซึ่งเป็นวิธีการที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงมาก ด้วยเหตุนี้เอง องค์กรอนุรักษ์จึงควรได้รับการสนับสนุนด้านการขายคาร์บอนเครดิตในตลาด ตราบเท่าที่โครงการมีทั้งการปลูกต้นไม้ใหม่และรักษาต้นไม้เดิมไว้”
นาย Leibowitz ว่า “ถ้าเราทำอย่างถูกวิธีแล้ว ราคาคาร์บอนเป็นกลไกที่มีประโยชน์ในการเก็บกักคาร์บอนไว้ในป่าไม้และดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโครงการที่อนุรักษ์ป่าอย่างยั่งยืน เนื่องจากทำให้ต้นไม้โตอย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งจะทำให้ต้นไม้สามารถเก็บกักคาร์บอนได้มากขึ้น”
นอกจากป่าเพื่อการดูดซับคาร์บอนแล้ว บางโครงการที่มีความมุ่งมั่นที่จะดูดซับคาร์บอนโดยแท้จริงหลีกเลี่ยงการขายคาร์บอนเครดิตไปเลย เจ้าหน้าที่ Gilles Dufrasne ของ Carbon Market Watch พูด แต่เมื่อต้องการขายก็จะสำรวจหาโครงการที่ไม่สามารถลดก๊าซได้โดยไม่ได้ทุนจากการชดเชยคาร์บอน หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า เราทำเช่นนี้เพื่อให้แน่ใจว่ากลไกการชดเชยไม่ได้ให้ทุนแก้โครงการลดก๊าซที่มีอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่ามีโครงการที่ดูดซับคาร์บอนได้จริงก็ต่อเมื่อได้รับค่าชดเชย กลไกการชดเชยก็อาจมีข้อบกพร่องได้จากสาเหตุอื่น ดังที่เราได้เห็นจากกรณีไฟ Bootleg ที่เผาทำลายป่าที่คาดหวังกันว่าจะเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนถาวร ป่าคาร์บอนเครดิตส่วนมากในสหรัฐอเมริกาอยู่ภายใต้ Improved Forest Management protocol ที่ไม่ได้นำปัจจัยเรื่องไฟป่าและโอกาสที่จะเกิดไฟป่าบ่อยขึ้นจากภาวะโลกร้อนมาร่วมพิจารณา
นาย Badgley ยังได้เสริมว่า “เรารู้ดีว่าความเสี่ยงมีแต่จะเพิ่มขึ้น และระบบที่รัฐแคลิฟอร์เนียใช้กันอยู่นั้นก็ไม่ได้รองรับความเสี่ยงนี้”
ไม่มีวิธีการใดที่สามารถรับประกันว่าโครงการดูดซับคาร์บอนจะมีความยั่งยืน เช่นไม่มีใครรู้ว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลในอีกสิบปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง และการเปลี่ยนแปลงก็กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นาย Schneider กล่าวว่า “ข้อมูลที่ใช้ในการทำนายอนาคตเป็นเพียงสมมติฐานซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงมาก “
กฎเกณฑ์ใหม่
ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมตัวเพื่อการเจรจาต่อรองกฎเกณฑ์สำหรับตลาดคาร์บอนในการประชุม COP26 ในเดือนพฤศจิกายนนั้น
นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้เน้นย้ำความสำคัญถึงการกำจัดคอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบ และพบว่ายังมีประเด็นปัญหาคงค้างอยู่สองประการได้แก่
1) การนับเครดิตซ้ำซ้อน
2) เราควรนับเครดิตที่ได้จากโครงการ CDM เดิมรวมเข้ากับระบบตลาดคาร์บอนที่ตั้งขึ้นใหม่หรือไม่
ประการแรก เรื่องของการนับเครดิตซ้ำซ้อน ยกตัวอย่างเช่นประเทศบราซิลต้องการอ้างสิทธิในเครดิตที่ขายให้แก่ประเทศอื่นไปแล้วด้วย ซึ่งหมายความว่าเครดิตที่ขายไปจะถูกนับสองครั้ง ถ้าสหราชอาณาจักรต้องการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์ป่าอเมซอน บราซิลต้องการอ้างสิทธิในเครดิตที่ตนเองผลิตและที่ขายให้แก่สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ บราซิล รวมทั้งจีนและอินเดีย ยังต้องการขายเครดิตเก่าที่ผลิตจากยุคพิธีสารเกียวโตเพื่อมิให้การลงทุนสูญเปล่า
“เนื่องจากการลดก๊าซภายใต้พิธีสารเกียวโตได้เกิดขึ้นไปแล้ว การนำเครดิตเก่ามาใช้อีกไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับสภาพภูมิอากาศโลกและประเทศที่ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อภาวะโลกร้อน” นาย Schneider ให้เหตุผล
ดังนั้นเราจึงไม่ควรอนุญาตให้มีการนับเครดิตซ้ำซ้อนหรือการนำเครดิตเก่ามาใช้ใหม่โดยสิ้นเชิง
ประการที่สอง โครงการที่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่าง CDM ก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง หลายโครงการชดเชยคาร์บอนที่ผ่านมา “ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่” นาง Erika Lennon อัยการอาวุโสของ Center for International Environmental Law แจ้งว่าหลายผู้พัฒนาโครงการหลายรายมิได้ปรึกษาและขอความเห็นชอบจากชุมชนท้องถิ่นก่อนดำเนินการ
หนึ่งในโครงการดังกล่าวได้แก่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Alto Maipo ในเมือง Santiago ประเทศชิลีที่ได้รับการรับรองโดย CDM โดยไม่คำนึงถึงประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการคัดค้านจากชุมชนท้องถิ่นที่ร้องทุกข์ว่าโครงการดังกล่าวเปลี่ยนเส้นทางการไหลของแม่น้ำ Maipo ในช่วงกว่า 100 กิโลเมตรเพื่อการผลิตไฟฟ้า ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นขาดน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค
“การเคารพสิทธิมนุษยชนในด้านการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย” นาง Lennon กล่าว
“เราไม่ควรตั้งตลาดคาร์บอนที่ขายเครดิตราคาถูกขึ้นมาเว้นแต่ว่าจะมีกฎข้อบังคับที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการคอร์รัปชั่น” นาย Haya เสริม “คุณไม่สามารถตั้งรับปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนได้จากความหลอกลวง เราต้องแน่ใจว่าเครดิตนั้นเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง ไม่ใช่คำโกหก” และยังได้เสนอให้บริษัทและประเทศผู้ซื้อเครดิตตั้งกองทุนเพื่อการตั้งรับปรับตัวโดยการลดการปล่อยก๊าซอย่างเป็นรูปธรรม เพราะถึงแม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วนานาชาติจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมขึ้นมารองรับตลาดคาร์บอนได้ก็ตาม แต่เราก็ไม่สามารถตั้งความหวังไว้กับตลาดคาร์บอนเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนแต่เพียงทางเดียวได้
“เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างจากครั้งที่เราทำข้อตกลงปารีส” นาย Elliott ชี้แจง “หลายประเทศได้ตั้งเป้าหมาย net zero กันแล้ว ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าตลาดคาร์บอนยังจำเป็นอยู่หรือไม่ และการแก้ปัญหาที่แท้จริงควรจะเป็นการแปรรูปอุตสาหกรรมใช่ไหม การนำเสนอกลไกชดเชยคาร์บอนมิใช่ส่วนสำคัญของการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่เป็นการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากกว่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย net zero ภายในปี 2050 และรัฐบาลของประเทศเราก็ไม่ควรซื้อเครดิตจากประเทศอื่นเพื่อปล่อยก๊าซต่อไป แต่ควรลดการปล่อยก๊าซลง” (จบ)
อ้างอิง https://www.bbc.com/…/20211018-climate-change-what-is…