THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

ประสาท มีแต้ม
23 ธันวาคม 2021

เมื่อ 9 ปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีชื่อเสียงระดับโลกท่านหนึ่งคือ Dr. James Hansen แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ได้กล่าวในรายการ TED Talk ในหัวข้อ “ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ว่า “ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่อุกกาบาตขนาดยักษ์กำลังพุ่งตรงเข้ามาจะชนโลก ซึ่งเป็นสถาการณ์ที่คล้ายกับกรณีโลกร้อนที่ชาวโลกเรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ถ้าเราสับสนและไม่เชื่อมั่นว่าเรามีความสามารถ แล้วไม่ลงมือทำอะไรเพื่อที่จะเปลี่ยนทิศทางของอุกกาบาตยักษ์ ยิ่งรอนาน ยิ่งยากและมีราคาแพงในการแก้ปัญหา”

มาวันนี้ ข้อความในประโยคที่ผมได้เน้นเป็นตัวหนาข้างต้นได้ถูกนำไปสร้างเป็นภายยนตร์เรื่อง “Don’t Look Up” ซึ่งทางบริษัท Netflix กำลังจะเผยแพร่ทั่วโลกในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ สำหรับดาราแสดงนำก็มีชื่อเสียงมาก ดังที่ผมได้ตัดรูปมาให้ดูข้างต้นครับ

เท่าที่ผมได้ติดตามคำวิจารณ์จากหลายๆสื่อภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะมีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “อย่าเงยหน้าขึ้นมองความจริง”

เรื่องราวในหนังพอสรุปได้ว่า นักศึกษาดาราศาสตร์คนหนึ่ง(คือนางเอก-รับบทโดย Jennifer Lawrence) ได้ค้นพบว่ามีดาวหางที่ไม่มีใครรู้จักกำลังพุ่งมาในทิศทางเข้าสู่โลก อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอ (คือพระเอก-รับบทโดย Leonardo DiCaprio) ได้คำนวณว่าดาวหางหรืออุกกาบาตขนาดยักษ์ดังกล่าวจะพุ่งมาชนโลกภายใน 6 เดือน ด้วยความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งสองคนและคณะจำนวนหนึ่งจึงนำผลการศึกษาไปเสนอต่อประธานาธิบดี(ซึ่งเป็นผู้หญิง) แต่ไม่ได้รับความสนใจและขาดความกระตือรือร้นจากทำเนียบขาว ความพยายามที่จะให้ประชาชนรับรู้เหตุการณ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ของพวกเขาก็ล้มเหลว แต่ต่อมาเมื่อประธานาธิบดีมีข่าวอื้อฉาวส่วนตัว เธอจึงหยิบประเด็นนี้มาหันเหความสนใจของสังคม โดยรับเรื่องอุกกาบาตมาดำเนินการและประกาศที่จะใช้เทคโนโลยียานอวกาศเพื่อเปลี่ยนทิศทางให้ดาวหางนี้เฉออกไปจากแนวโคจรของโลก

ต่อมาข่าวเรื่องนี้ก็ได้แพร่สะพัดโดยสื่อต่าง ๆ แต่เมื่อการปฏิบัติการเปลี่ยนเส้นทางดำเนินไปได้ระยะหนึ่งผู้ปฏิบัติการซึ่งเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินรายใหญ่ของประธานาธิบดีพบว่า อุกกาบาตดังกล่าวนี้มีแร่ที่มีมูลค่ามหาศาล ทางทำเนียบขาวจึงมีแผนการเชิงพาณิชย์ที่จะหาประโยชน์จากอุกกาบาตนั้นโดยการค่อยๆทำให้มีขนาดเล็กลงแล้วเก็บชิ้นส่วนที่แตกออกมา

แต่การดำเนินการต้องชะงักไปกลางคัน ชาวโลกแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง มีทั้งฝ่ายที่ต้องการให้ไปทำลายอุกกาบาตนั้น และฝ่ายที่ไม่เชื่อว่าเป็นจริง ในที่สุด อุกกาบาตก็พุ่งเข้าชนโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ประธานาธิบดีและพวกขึ้นยานอวกาศหนีไปได้ สองหมื่นสองพันปีต่อมา ประธานาธิบดีและพวกตื่นขึ้นจากการถูกแช่แข็ง และพบว่าพวกเขาได้มาอยู่บนดาวเคราะห์ที่มีสภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกสัตว์ป่าโจมตีและฆ่าตาย

ผมขอหยุดเรื่องราวในหนัง(ซึ่งผมได้สรุปมาจากการอ่านผ่านวิกีพีเดีย) ด้วยการเสนอ 4 ภาพที่มาจากวีดิโอของเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นคือเพลง Just Look Up (ขอเพียงเงยหน้าขึ้นมองความจริง) ข้อความในภาพคงจะช่วยให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น โดยเฉพาะในภาพที่ 2 ที่ว่าไม่มีพื้นที่ให้เราหลบซ่อน

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 Dr. James Hansen ได้ออกบทความขนาดยาว 10 หน้ากระดาษในเว็บไซด์ส่วนตัวของท่านตอนหนึ่งความว่า…

“นักวิทยาศาสตร์รู้สึกท้อแท้ที่พวกเขาพยายามจะสื่อสารถึงความฉุกเฉินทั้งในเรื่องอุกกาบาตและเรื่องจริงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้ร้ายในเรื่องภูมิอากาศก็คือนักอุตสาหกรรมที่มีความโลภ รัฐบาลที่ไร้ความสามารถและคอร์รัปชัน สื่อมวลชนที่ขาดความรับผิดชอบที่รายงานข่าวเพียงเพื่อหวังเพิ่มเรทติ้ง และสาธารณะที่สนใจหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่มีแต่เรื่องบันเทิง”

Dr. Hansen ยังได้เปรียบเทียบอีกว่า “เนื้อหาในภาพยนตร์ได้ใช้สถานการณ์ที่เกี่ยวกับโลกร้อนที่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ได้ย่อเวลาให้สั้นลง 100 เท่าตัว นั่นคือเหตุการณ์จริงได้ใช้เวลาถึงครึ่งศตวรรษในการเปลี่ยนแปลงระบบสภาพภูมิอากาศ แต่เรื่องราวในภาพยนตร์จะเกิดขึ้นภายในเวลา 6 เดือนในการเปลี่ยนทิศทางของอุกกาบาต และมีเวลา 6 เดือนของการมีส่วนร่วมของสาธารณะ” (แต่ภาพยนตร์มีความยาว 2 ชั่วโมง 18 นาที)

“ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของโลกแห่งความเป็นจริงได้นำไปสู่ความขัดแย้งของคนระหว่างรุ่นต่าง ๆ ที่ปัจจุบันนี้มีการนำโดยผู้ใหญ่ แต่ล้มเหลวเพราะไม่ได้ลงมือกระทำในสิ่งที่จำเป็น แต่คนรุ่นใหม่และรุ่นต่อๆไปจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบ เรื่องภูมิอากาศอาจจะเป็นเรื่องที่สามารถจบลงอย่างมีความสุขได้ แต่คนรุ่นใหม่ต้องเล่นบทบาทเป็นผู้นำเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คนรุ่นใหม่มีแรงจูงใจและเครื่องมือที่จะต่อสู้กับเรื่องนี้ แต่การจะได้รับชัยชนะได้ต้องมีความเข้าใจในภาพใหญ่ บางทีเรา-คนรุ่นเก่าสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอเสนอข้อคิดเห็นต่อเยาวชนคนรุ่นใหม่” Dr. Hansen ได้กล่าวนำในเอกสารหน้าที่ 1 ก่อนจะตามด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจมากอีก 9 หน้า พร้อมแหล่งอ้างอิงอีกจำนวนมาก

ปี 2004 Dr.Hansen ได้ตัดสินใจออกบรรยายเพื่อให้ความรู้กับสาธารณะตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศกว่า 10 ประเทศ ได้พูดคุยกับผู้นำนักเรียนระดับมัธยมจำนวนมากหลายครั้ง รวมทั้งการประท้วงนโยบายพลังงานที่มุ่งไปที่พลังงานฟอสซิลจนถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ ที่หน้าทำเนียบขาว ในการพูด TED Talk เขาได้นำเสนอภาพการ์ตูนล้อเลียนจาก “GreenHouse Effect” เป็น “White House Effect” ดังรูปที่ผมนำมาเสนอ

ผมเองได้ติดตามผลงานวิชาการของ Dr.Hansen มาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งได้รับรู้บทบาทด้านการสื่อสารกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ก็ในช่วงไม่กี่วันมานี้เอง ตัวผมเองก็ได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน ผมจะค่อยๆนำความคิดด้านสังคมของนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกท่านนี้มาเผยแพร่ในโอกาสต่อไปครับ

หลังจากที่ผมได้ศึกษาผลงานของ Dr.Hansenทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินข้อมูลในลักษณะนี้จากการบรรยายของอดีตรองประธานาธิบดี Al Gore สหรัฐอเมริกา ในรายการ TED Talk ในหัวข้อ “The case of optimism on climate change” เมื่อปี 2016 ผมจึงกลับมาฟังใหม่อีกครั้ง จึงได้พบว่าข้อมูลที่ AlGore นำมาใช้ได้อ้างถึงนั้นมาจากผลงานของDr.Hansen นั่นเอง

และผมเชื่อว่า “นักวิทยาศาสตร์ที่มีความอดทนในการอธิบายเรื่องยากๆครั้งแล้วครั้งเล่า” ที่อดีตรองประธานาธิบดีพูดถึงในการให้สัมภาษณ์หลังการบรรยายจบลงก็น่าจะเป็น Dr.Hansen นี่เอง

ผมยิ่งเห็นความสำคัญของ Dr. Hansen ที่มีผู้วิจารณ์ว่า “เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พูดน้อย” มากขึ้นครับ

บทความในวันนี้ผมได้เริ่มต้นด้วยภาพยนตร์เสียดสีสังคมเรื่อง “อย่าเงยหน้าขึ้นมองความจริง” อย่างไรก็ตาม การนำเสนอความจริงให้คนสนใจและเข้าใจได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังที่อดีตรองประธานาธิบดี Al Gore กล่าวข้างต้น

ภาพสุดท้ายที่ผมจะนำเสนอในวันนี้มาจากภาพและข้อมูลวิชาการของ Dr.Hansen ครับ ผมรู้สึกว่านอกจากจะเข้าใจง่ายแล้ว ยังมีข้อมูลสำคัญๆ ดังภาพครับ

ขอแถมนิดหนึ่งครับ ถือว่าแซวกันเล่นก็แล้วกัน คือการเปรียบเทียบว่าปริมาณพลังงานความร้อนที่เกิดจาก “ความไม่สมดุลของพลังงานโลก” อันเนื่องมาจากการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปขัดขวางไว้ไม่ให้สะท้อนออกสู่นอกชั้นบรรยากาศโลกนั้น Dr.Hansen ผู้วิจัยมากับมือตนเองบอกว่า ในแต่ละวันพลังงานที่สะสมเพิ่มขึ้น เท่ากับพลังงานที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ที่ลงเมืองฮิโรชิมาจำนวนถึง 6 แสนลูก แต่คุณ Al Gore นำมาพูดว่าเท่ากับ 4 แสนลูกเท่านั้น (ฮา)

อย่างไรก็ตาม โปรดลองจินตนาการกันเองนะครับ โลกในอนาคตจะร้อนเพิ่มขึ้นขนาดไหนหากมนุษย์ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม หากคนรุ่นใหม่ไม่ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำเพื่อปกป้องลูกหลานของตนเอง

Just Look Up!



Social Share