THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย Manon Castagné, Sara Lickel, Tara Ritter, และ Gilles Dufrasne
วันที่ 24 พฤษภาคม 2023
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย https://www.theguardian.com/…/chevron-carbon-offset…
อ้างอิง https://www.theguardian.com/…/chevron-carbon-offset…

รายงานผลการตรวจประเมินกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมของ Chevron พบว่า:

1. Chevron พึ่งพาเครดิตที่ไร้ค่าแทนที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน
คาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองแล้วหนึ่งหน่วยสามารถนำมาชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่ดูดซับได้โดยโครงการที่ตั้งอยู่ในสถานที่อื่น ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจมีมูลค่าถึง 2 พันล้านดอลล่าร์และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะส่งผลดีต่อสภาพภูมิอากาศโลกน้อยมาก ในระยะเวลาระหว่างปี 2020-2022 Chevron ซื้อเครดิตจำนวนทั้งสิ้น 5.8 ล้านเครดิตจากตลาดใหญ่ๆ 4 ตลาดตามฐานข้อมูล AlliedOffsets

องค์กร Corporate Accountability พบว่าเครดิตส่วนใหญ่ที่ Chevron ซื้อมาเพื่อการชดเชยนั้นขาดความน่าเชื่อถือและไร้ค่า เครดิตเหล่านี้ได้รับการรับรองโดย “มาตรฐาน” ของ Verra ซึ่งเป็นสถาบันรับรองคาร์บอนเครดิตชั้นนำของโลก จากการตรวจสอบโดย The Guardian พบว่าโครงการปลูกป่าคาร์บอนกว่าร้อยละ 90 ที่รับรองโดย Verra นั้นเป็นเรื่องเท็จ แน่นอนว่า Verra ออกมาปฏิเสธและกล่าวหางานวิจัยว่า “พูดเกินจริง”

โครงการปลูกป่าคาร์บอนขนาดใหญ่และเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำคือแหล่งที่มาของเครดิตที่ Chevron ใช้ ซึ่งเป็นโครงการที่ขาดความน่าเชื่อถือเนื่องจากไม่ได้ก่อให้เกิดการลดก๊าซส่วนเพิ่มที่เป็นรูปธรรมเมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีโครงการ ทำให้ผลโครงการนี้มีแต่การปล่อยก๊าซมากขึ้นและการกล่าวอ้างลดโลกร้อนที่เกินจริง

นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ Chevron “ผู้ถือหุ้นของ Chevron ยังคงเดินหน้าเซ็นอนุญาตโครงการที่เป็นภัยต่อชุมชนใน Richmond, Africa, Ecuador, Australia และที่อื่นๆทั่วโลก” นาย Katt Ramos กรรมการบริหารของ Richmond Our Power Coalition กล่าว “มันน่าตลกตรงที่เราคาดหวังแนวทางแก้ปัญหาจากให้บริษัทที่มีการทำลายล้างขนาดนี้”

2. Chevron เริ่มหันไปพึ่งพาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อนำมาชดเชยคาร์บอน

คาร์บอนอีกครึ่งหนึ่งที่ Chevron ซื้อมาใช้ในช่วงปี 2020-2022 นั้นได้มาจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ งานวิจัยในปี 2019 พบว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไม่ได้ก่อให้เกิดการลดก๊าซส่วนเพิ่ม แต่มักทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งด้านที่ดิน เป็นสาเหตุของความยากจนของชุมชน และทำลายสิ่งแวดล้อม โรงไฟฟ้าพลังน้ำบางโรงอาจเก็บกักคาร์บอนได้จริง แต่อีกหลายโรงก็เป็นสาเหตุของภัยพิบัติทางธรรมชาติ โครงการชดเชยคาร์บอนที่ Chevron ซื้อเครดิตมานั้นมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำสองโรงที่ประเทศโคลอมเบีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของน้ำท่วมและความรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น ตามรายงานของ Andrés Gómez Orozco ผู้เป็นสมาชิกของกลุ่มรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมของโคลัมเบีย

Chevron ขยายกำลังการผลิตน้ำมันในโคลอมเบียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เปราะบางต่อภาวะโลกร้อนที่สุดอย่างต่อเนื่อง และเป็นประเทศที่เป็นฐานของโครงการชดเชยคาร์บอนมากที่สุดอีกด้วย “รายงานฉบับนี้เปิดเผยถึงกลยุทธ์การล้อบบี้ของ Chevron เพื่อขยายธุรกิจของตนในขณะเดียวกันก็ประกาศแก่ชาวโลกว่าได้ชดเชยคาร์บอนโดยการปลูกป่าในโคลอมเบียซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ได้ผล” นาย Gómez กล่าว

3. Chevron อ้างว่าเป็นธุรกิจสีเขียวแต่เพิ่มกำลังการผลิตพลังงานฟอสซิล

แม่ว่า Chevron จะประกาศว่าจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 แต่ก็ยังวางแผนที่จะลงทุนในการผลิตน้ำมันอีก5.74 หมื่นล้านดอลล่าร์ภายในปี 2030 นี้ จากรายงานประจำปี 2022 ของบริษัท Chevron ได้ใช้เงินไปหลายล้านดอลล่าร์เพื่อล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐฯให้ชะลอกฎหมายกว่า 150 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการให้บริษัทเอกชนรับผิดในเรื่องภาวะโลกร้อนและลดก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนกฎหมายเกี่ยวกับการดูดซับ กักเก็บ และชดเชยคาร์บอน และอีกหลายล้านดอลลาร์ในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สีเขียวของบริษัท แม้ว่า Chevron จะลงทุนเพียงน้อยนิดไปกับเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำอย่าง CCS ซึ่งมีประวัติมายาวนานว่าเป็นแนวทางที่ “พูดมากกว่าทำ”

โรงก๊าซ Gorgon ของ Chevron ในออสเตรเลียตะวันตกเป็นโครงการ CCS ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วง 5 ปีแรก โครงการเก็บกักคาร์บอนได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่วางไว้ แต่ในทางตรงข้าม ปริมาณก๊าซเรือนกระจกกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50

“ตัวเลขนี้ทำให้เราเห็นว่าระบบดูดซับและชดเชยคาร์บอนนั้นไม่ได้ผลทั้งในแง่ของฟิสิกส์ เศรษฐกิจ และความเป็นธรรม แล้วยังทำให้บริษัทน้ำมันขยายกำลังการผลิตได้อีก” นาย Bill McKibben นักสิ่งแวดล้อมและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ 350.org และ ThirdAct.org อธิบาย “ทั้งหมดนี้ก็คือว่า Chevron ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจของตนแม้ว่ามนุษยชาติกำลังประสบภัยครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา” (จบ)


Social Share