THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย Manon Castagné, Sara Lickel, Tara Ritter, และ Gilles Dufrasne
วันที่ 24 พฤษภาคม 2023
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย https://www.theguardian.com/…/chevron-carbon-offset…
อ้างอิง https://www.theguardian.com/…/chevron-carbon-offset…

การศึกษาแนวทางลดปัญหาโลกร้อนของ Chevron พบว่าบริษัทน้ำมันรายนี้ใช้กลไกชดเชยคาร์บอนที่ไร้ค่าและเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ และไม่ได้ช่วยลดปริมาณคาร์บอนในบรรยากาศโลก แถมยังเบียดเบียนชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย

Chevron ผู้ซึ่งรายงานผลกำไร 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ไปเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินการอยู่ในภูมิภาคนับตั้งแต่แคนาดาจรดบราซิล ไปจนถึงอังกฤษ ไนจีเรีย และออสเตรเลีย แม้จะมีฐานปฏิบัติการที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ผู้บริหารของ Chevron ประกาศว่าต้องการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยใช้กลไกชดเชยคาร์บอนและเก็บกักคาร์บอน (CCS) เป็นหลัก

ผลงานวิจัยโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Corporate Accountability พบว่าร้อยละ 93 ของเครดิตที่ Chevron ซื้อมาจากตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนในระหว่างปี 2020-2022 นั้นก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลดี โดยการวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างโครงการที่ผลิตคาร์บอนเครดิตที่ Chevron ซื้อมากับโครงการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำและการปลูกป่าคาร์บอนในประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ทำให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังก่อปัญหาในประเทศที่ตั้งโครงการที่มีความเปราะบางต่อภาวะโลกร้อนอยู่แล้ว

“แผนรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของ Chevron มีแต่จะทำให้เกิดผลเสีย เพราะไม่ได้เป็นไปตามแนวทางการแก้ปัญหาที่แท้จริงตามหลักวิทยาศาสตร์ ได้แก่การลดก๊าซที่เป็นรูปธรรม” นางสาว Rachel Rose Jackson จาก Corporate Accountability กล่าว

รายงานชื่อ Destruction Is at the Heart of Everything We Do ได้รับการเผยแพร่ในสัปดาห์ที่ชุมชนทั่วโลกรวมตัวกันเพื่อประท้วง Chevron ในขณะที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่แคลิฟอร์เนียกำลังเตรียมการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม ในวันอาทิตย์ นักรณรงค์ได้มารวมตัวกันหน้าโรงกลั่นของ Chevron ในเมือง Richmond ซึ่งเป็นชุมชนคนผิวดำและฮิสปานิกจำนวน 115,000 คนทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงซานฟรานซิสโกด้วยสาเหตุที่ในปี 2012 มีผู้คนจำนวน 15,000 คนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของบริษัท

รายงานดังกล่าวระบุว่าการใช้คาร์บอนเครดิตจำนวนมากแท้จริงแล้วเป็นการบ่อนทำลายเป้าหมาย Net Zero ของ Chevron นอกจากนี้ยังเป็นเป้าหมายส่วนน้อยของธุรกิจอีกด้วยเพียงร้อยละ 10 ของ Carbon Footprint ของบริษัท เนื่องจากนับเพียงธุรกิจต้นน้ำได้แก่น้ำมันและก๊าซ แต่ไม่รวมธุรกิจปลายน้ำคือการบริโภคพลังงานในครัวเรือนและภาคขนส่ง

“แผนการแก้ปัญหาโลกร้อนใด ๆ ก็ตามที่ใช้วิธีชดเชยคาร์บอน เก็บกักคาร์บอนในดิน และตัดการปล่อยก๊าซในธุรกิจปลายน้ำออกนั้นจะพบกับความล้มเหลวอย่างแน่นอน” นาย Steven Feit ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและกฎหมายของศูนย์ Center for International Environmental Law กล่าว “รายงานฉบับนี้และฉบับไหน ๆ ก็ตามระบุไว้ชัดเจนว่ากรอบดำเนินการด้าน Net Zero ถูกนำมาใช้ในการอ้างว่าบริษัทได้พยายามแก้ปัญหาโลกร้อนแล้วในขณะที่ยังดำเนินธุรกิจแบบเดิมต่อไปโดยไม่สนใจที่จะบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส”

Chevron ประมาณการไว้ว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยระหว่างปี 2022-2025 เท่ากับปริมาณที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน 364 โรงทุกปี ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงกว่าปริมาณที่ประเทศในยุโรป 10 ประเทศรวมกันได้แก่ออสเตรีย นอร์เวย์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ลิธัวเนีย สโลเวเนีย เอสโตเนีย ลัตเวีย และไอซ์แลนด์

หลังการเผยแพร่ของรายงานฉบับนี้ Chevron ปฏิเสธรายงานและกล่าวหาว่างานวิจัยไม่เป็นกลางและใช้ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์มาตัดสินความพยายามในการลดก๊าซของตน

งานวิจัยฉบับล่าสุดเรียกร้องให้หยุดการใช้กลไกชดเชยและกักเก็บคาร์บอนเนื่องจากทำให้บริษัทที่สร้างมลภาวะสามารถดำเนินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปได้เช่นเดิม

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา The Guardian พบว่าคาร์บอนเครดิตที่รับรองโดย Verra ซึ่งเป็นสถาบันรับรองเครดิตรายใหญ่ของโลกที่รับรองเครดิตที่ลูกค้าชั้นนำอย่าง Disney, Gucci, Shell และ Chevron ซื้อไปเพื่อชดเชยกิจกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน เครดิตเหล่านั้นเป็นเครดิตที่ไร้ความหมายและเป็นสาเหตุให้ปัญหาโลกร้อนเลวร้ายลง

ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ในการถ่วงเวลาที่จะทำการลดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นรูปธรรม “บริษัทเหล่านี้ทำร้ายโลกด้วยการทำตัวเป็นอุปสรรคขวางความเปลี่ยนแปลง” นาย Peter Kalmus นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของนาซ่าระบุ “นี่คือความเลวร้ายของการฟอกเขียวของบริษัทน้ำมันที่ทำร้ายคนทุกคนบนโลกใบนี้”

ในปี 2021 องค์กรพลังงานระหว่างประเทศหรือ IEA เตือนไว้ว่าเราต้องไม่สำรวจและขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินเพิ่มอีกหากต้องการบรรลุเป้าหมาย 1.5 C และหยุดยั้งหายนะจากภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตาม บริษัทพลังงานอย่าง Chevron ก็ยังคงขยายธุรกิจของตนอย่างต่อเนื่องทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอุณหภูมิผิวโลกจะสูงขึ้นอีก 2.7 C และตามมาด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในหลายปีที่ผ่านมาเราใช้เวลาและทรัพยากรอันมีค่ามากมายไปกับเทคโนโลยีเก็บกักและซื้อขายคาร์บอนแทนที่จะลดปริมาณก๊าซอย่างจริงจัง

(อ่านต่อวันพฤหัสบดี)


Social Share