THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เผยแพร่โดย The Guardian
วันที่ 12 พฤษภาคม 2023
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย AP
อ้างอิง https://www.thehindu.com/…/article66840353.ece/amp/…

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐบาลของประธานาธิบดีไบเด็นได้เสนอตัวเลขเพดานของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่เพื่อเร่งแก้ปัญหาโลกร้อนโดยมุ่งไปที่อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเป็นอันดับสองของประเทศ

Environmental Protection Agency (EPA) ได้เสนอตัวเลขใหม่นี้เพื่อกดดันให้โรงไฟฟ้าใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน ณ ปล่องไอเสียที่ได้สัญญาไว้นานแล้วแต่ยังไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมอย่างมีนัยสำคัญในสหรัฐอเมริกา

“รัฐบาลมีพันธกิจที่จะต้องบรรลุเป้าหมายอันเร่งด่วนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และจะต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมโดยด่วน” นาย Michael Regan ประธาน EPA กล่าว “เกณฑ์ตัวเลขใหม่นี้จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้าถ่านหินได้”

จุดประสงค์ของกฎหมายนี้ไม่เพียงแต่เป็นการ “ปรับปรุงคุณภาพอากาศทั่วประเทศแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังปรับปรุงสุขภาวะของชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนที่อยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้าที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบอย่างไม่เป็นธรรมมานานกว่าทศวรรษ” นาย Regan กล่าวในสุนทรพจน์ ณ University of Maryland

หากกฎหมายนี้ถูกบังคับใช้เมื่อใด การบังคับใช้ดังกล่าวจะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางกำหนดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งคิดเป็นร้อยละ 25 ของปริมาณทั้งหมดของประเทศ เป็นรองเพียงภาคขนส่ง และจะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าได้ถึง 617 ตันคาร์บอน นับตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2042 เทียบเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากรถยนตร์ส่วนบุคคล 137 ล้านคันต่อปี ส่งผลให้โรงไฟฟ้าถ่านหินแทบทุกโรงต้องลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของตนลงภายในปี 2038 หากไม่สามารถลดได้ก็จะถูกปิดภายใต้กฎหมายใหม่นี้

อย่างไรก็ตาม แผนลดก๊าซนี้มีแนวโน้มที่จะถูกต่อต้านโดยกลุ่มอุตสาหกรรมและรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรครีปับลิกัน โดยกล่าวหาพรรคเดโมแครตว่าทำเกินกว่าเหตุและเตือนว่ากฎหมายนี้จะทำให้ประเทศขาดเสถียรภาพทางพลังงาน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เป็นหนึ่งในหกกฎหมาย EPA ที่ใช้ควบคุมโรงไฟฟ้าและโรงบำบัดน้ำเสีย

“รัฐออกกฎหมายนี้มาเพื่อปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินอย่างไม่จำเป็นเลย ” นาย Rich Nolan ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ National Mining Association กล่าว

นาย Regan ปฏิเสธว่ากฎหมายควบคุมโรงไฟฟ้าเหล่านี้มีไว้เพื่อปิดโรงไฟฟ้า แต่เป็นการเตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของภาวะโลกร้อน “แต่เราก็จะได้เห็นการปิดตัวลงของโรงไฟฟ้าบางโรง ส่วนโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวได้ก็จะใช้เทคโนโลยีเพื่อลดปริมาณก๊าซและหันไฟผลิตพลังงานสะอาดเพื่อทดแทนพลังงานถ่านหิน” นาย Regan ระบุ

ถ่านหินเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าประมาณร้อยละ 20 ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ลดลงจากร้อยละ 45 ในปี 2010 ที่เหลือได้จากก๊าซธรรมชาติร้อยละ 40 และนิวเคลียร์และพลังงานทางเลือกอีกร้อยละ 15

นักสิ่งแวดล้อมได้ออกมาชื่นชมกับความเคลื่อนไหวของ EPA ในครั้งนี้ที่จะช่วยเร่งให้เกิดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหาภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนเช่นอุทกภัย พายุ ภัยแล้ง และไฟป่า นาย Fred Krupp ประธานกองทุน Environmental Defense กล่าวว่ากฎหมายนี้จะ “ทำให้อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเติบโตแพร่หลายมากขึ้น ทำให้อากาศสะอาดขึ้น ลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน สร้างการจ้างงาน และทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง”

แต่นาย Jim Matheson ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสมาคม National Rural Electric Cooperative Association แย้งว่าแผนการนี้จะทำให้ระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าของอเมริกาเป็นอัมพาตและ “ทำลายผลงานหลายทศวรรษที่ทำให้อเมริกามีเสถียรภาพทางพลังงาน” นาย Matheson ที่นำองค์กรที่เป็นตัวแทนของสหกรณ์การไฟฟ้าท้องถิ่นกว่า 900 สหกรณ์กล่าวโจมตีแผนการของ EPA ว่าจะทำให้ “โรงไฟฟ้าที่รักษาเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศต้องปิดตัวลงก่อนเวลาอันควรและทำให้โรงก๊าซธรรมชาติใหม่ขอใบอนุญาตได้ยากขึ้น”

ส่วนนาย Tom Kuhn ประธานสถาบัน Edison Electric Institute ที่เป็นตัวแทนบริษัทผลิตไฟฟ้าหลายร้อยรายประกาศว่ากลุ่มธุรกิจไฟฟ้าจะรวมตัวกันเพื่อประเมินว่าแผนการของ EPA สอดคล้องกับแผนของกลุ่มที่จะผลิตพลังงานสะอาดอย่างมีเสถียรภาพหรือไม่ และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าในอเมริกานั้นไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 1984 ในขณะที่อัตราการบริโภคพลังงานไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 73 ในช่วงเวลาเดียวกัน

กฎหมายที่เสนอโดย EPA จะไม่มีการนำมาใช้บังคับให้โรงไฟฟ้าต้องติดตั้งเครื่องมือดักจับคาร์บอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีราคาสูงและยังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา แต่จะตั้งค่าเพดานปริมาณคาร์บอนเพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซจากโรงไฟฟ้า โดยโรงก๊าซธรรมชาติหลายโรงสามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นอย่างไนโตรเจนมาผสมกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดไอเสียเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แม้ว่าการดำเนินการจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของโรงไฟฟ้าเอง แต่กฎหมายก็คาดหวังให้มีการใช้เครื่องมือดักจับคาร์บอนกันมากขึ้น เพราะจากมุมมองของ EPA นั้น เทคโนโลยีนี้ได้พิสูจน์ตนเองมาพอสมควรว่าสามารถควบคุมมลภาวะได้จริง

นาย Jessie Stolark ผู้อำนวยการของ Carbon Capture Coalition กล่าวถึงกฎหมายใหม่ว่าเป็นการ “ยกระดับบทบาทของเครื่องมือดักจับคาร์บอนด้วยการรับรองให้เป็นเครื่องมือที่สามารถดักจับคาร์บอนได้ตามค่ามาตรฐาน” แม้ว่าภาคพลังงานสะอาดจะเติบโตขึ้นอย่างราวเร็ว แต่เราก็จะยังได้เห็นการใช้พลังงานอย่างผสมผสานกันระหว่างพลังงานฟอสซิลแบบเก่าและพลังงานสะอาดไปอีกหลายสิบปี ” นาย Stolark ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรม แรงงาน และสิ่งแวดล้อมกล่าว

ประมาณร้อยละ 60 ของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นในสหรัฐฯเมื่อปีที่ผ่านมาได้จากถ่านหินที่ผ่านกระบวนการในโรงไฟฟ้า 3,400 โรงของประเทศจากข้อมูลของ US Energy Information Administration

“กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ ” นาย David Doniger ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ด้านพลังงานสะอาดและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกของสภา Natural Resources Defense Council กล่าว เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับให้โรงไฟฟ้าบรรลุเป้าหมายของประธานาธิบดีโจ ไบเด็นที่จะลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และลดปริมาณก๊าซจากโรงไฟฟ้าลงเหลือศูนย์ภายในปี 2035 “เราต้องทำเพื่อต่อกรกับภาวะโลกร้อน” นาย Doniger พูด

ข้อเสนอทางกฎหมายนี้เกิดขึ้นในเวลาหลายสัปดาห์หลังจากที่รัฐบาลประกาศจำกัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้รถยนต์จำนวนสองในสามของจำนวนทั้งหมดของประเทศต้องเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2032 และหลายเดือนหลังจากไบเด็นประกาศกฎจำกัดการปล่อยก๊าซมีเธนจากบ่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กฏเกณฑ์นี้กำหนดขึ้นภายหลังจากการออกกฎหมายแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานปี 2021 การยกเว้นภาษีและสิทธิประโยชน์ต่างๆจากพรบ.ชะลอเงินเฟ้อที่อนุมัติไปเมื่อปีที่ผ่านมา

แม้ว่ารัฐบาลของไบเด็นให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อนเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ยังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักสิ่งแวดล้อมจากการที่รัฐบาลอนุมัติโครงการขุดเจาะน้ำมันในอลาสก้า โครงการขุดเจาะน้ำมันขนาดยักษ์โดยบริษัท ConocoPhillips นี้จะสามารถผลิตน้ำมันได้ถึง 180,000 บาร์เรลต่อวันจากพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐอลาสก้าที่อุดมไปด้วยน้ำมัน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเรียกโครงการนี้ว่า “ระเบิดเวลาคาร์บอน” และรณรงค์ต่อต้านโดยติดแฮชแท็กในสื่อสังคมออนไลน์ #StopWillow

กฎเกณฑ์เพื่อจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนี้เกิดขึ้นเมื่อ 14 ปีหลังจากที่ EPA ประกาศให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่นๆเป็นอันตรายต่อสาธารณสุข ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าเคยพยายามที่จะจำกัดมลภาวะจากโรงไฟฟ้า แต่แผนพลังงานสะอาดในปี 2015 ของเขาไม่ได้รับความเห็นชอบจากประธานศาลฎีกาและต่อมาจึงถูกยกเลิกโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนในปีที่ผ่านมา ศาลฎีกาสหรัฐฯได้กำหนดข้อจำกัดการใช้พรบ.พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า กฎ 6-3 ยืนยันอำนาจหน้าที่ของ EPA ในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้าแต่ไม่สามารถบังคับให้โรงไฟฟ้าเลิกใช้ถ่านหินได้ นางสาว Vickie Patton ประธานกองทุน Environmental Defence Fund กล่าวว่ากฎเกณฑ์ดังกล่าวขึ้นอยู่กับอำนาจหน้าที่ตามธรรมเนียมเดิมของ EPA ในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลภาวะทางอากาศและ “สอดคล้องกับความเห็นส่วนใหญ่และผู้พิพากษาศาลฎีกา นาย John Roberts”

EPA ประกาศว่ากฎหมายใหม่นี้จะสร้างความยืดหยุ่นให้แก่โรงไฟฟ้าในการใช้วิธีใดๆก็ตามที่จะทำให้โรงไฟฟ้าเป็นไปตามมาตรฐานควบคุมมลภาวะ และแทนที่จะบังคับใช้กับทุกโรง กฎหมายใหม่นี้จะใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่ขึ้นอยู่กับขนาด อายุ และความถี่ในการให้บริการของโรงงาน (จบ)


Social Share