THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย Larry Lohmann
วันที่  25 พฤศจิกายน 2022
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย @ClimateFile

(ต่อจากวันอังคาร)

โดยการกำจัด HFC-23 เพียงสองสามตัน บริษัท Quimobasicos ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์สัญชาติเม็กซิกันตั้งเป้าที่จะจำหน่ายใบอนุญาตปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 30 ล้านตันแก่ Goldman Sachs, EcoSecurities, และ J-Power ของญี่ปุ่น สมมติว่าการกำจัด HFC-23 มีมูลค่าเทียบเท่า 0.25 ดอลล่าร์ต่อตันคาร์บอน และสิทธิในการชดเชยคาร์บอนปริมาณหนึ่งตันสามารถนำไปจำหน่ายในตลาด ETS Spot Market ได้ 3.11 ดอลล่าร์ (ราคาต่ำสุดที่เคยมีมาที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนปี 2012) ทั้งบริษัทผู้ขายและสถาบันการเงินที่เป็นคนกลางที่รับซื้อก็จะได้รับส่วนต่างระหว่าง 3.11 ดอลล่าร์และ 0.25 ดอลล่าร์ และลูกค้าผู้ซื้อเครดิตจากสถาบันการเงินก็จะสามารถประหยัดต้นทุนไป 140 ดอลล่าร์ต่อตันคาร์บอนด้วยการนำไปชดเชยปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

ในปัจจุบัน การกำจัด HFC-23 และ N2O ทำกำไรให้แก่บริษัทมากกว่าการจำหน่ายสินค้าที่ปล่อยมลภาวะในกระบวนการผลิตเสียอีก ซึ่งหมายความว่าบริษัทได้กำไรจากการทำให้ภาวะโลกร้อนเลวร้ายลงไปอีก การชดเชยการปล่อยก๊าซในกระบวนการอุตสาหกรรมเช่นนี้ทำให้เกิดธุรกิจใหม่จำนวนหนึ่งในประเทศจีน อินเดีย เกาหลีใต้ และเม็กซิโก ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้พิธีสารเกียวโต หน่วยวัด CO2 หรือเทียบเท่านี้ทำให้เกิดนวัตกรรมด้านนิเวศบริการและสินค้าใหม่ๆขึ้นมากมาย ตัวอย่างเช่นเหมืองถ่านหินในประเทศจีนในเวลานี้สามารถผลิตและจำหน่ายคาร์บอนเครดิตด้วยการเผามีเธนที่ซึมออกมาจากใต้ดินจากการทำเหมืองแร่เพื่อเปลี่ยนมีเธนให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายกับชั้นบรรยากาศโลกน้อยกว่า

ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่งของนิเวศบริการและสินค้าได้แก่เป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อภูมิอากาศที่แตกต่างกันไป ตามที่อดีตผู้บริหารของ World Bank นาย Robert Goodland ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ปศุสัตว์ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณ 3 พันล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า มากกว่าปริมาณที่ภาคอุตสาหกรรมและพลังงานผลิตได้รวมกัน” ทำให้บางคนนำไปสรุปง่ายๆว่า “เราสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกด้วยการทดแทนผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ด้วยผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่น ดีกว่าการทดแทนพลังงานฟอสซิลด้วยพลังงานทางเลือก”

หนึ่งในข้อด้อยของการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดคาร์บอนโดยการใช้ CO2 เทียบเท่าคืออคติที่มีต่อชุมชนท้องถิ่นที่เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมอย่างที่ La Via Campesina และ World Rainforest Movement ได้ชี้ให้เห็น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วประเด็นปัญหานี้ลึกซึ้งลงไปอีกมาก ตัวอย่างเช่นการสร้างสมการความสัมพันธ์ระหว่างก๊าซเรือนกระจกประเภทต่างๆข้างต้นนั้นก่อให้เกิดความไม่แน่นอนมากมายที่นำไปสู่การโต้แย้งด้านเทคนิคอย่างไม่รู้จบเพราะก๊าซเรือนกระจกแต่ละประเภทมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันในชั้นบรรยากาศโลกในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน และการควบคุมปริมาณก๊าซแต่ละประเภทก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้พลังงานฟอสซิลไม่เหมือนกัน

ส่วน IPCC เองก็ต้องทบทวนโมเดลการคำนวณ CO2-calibrated (GWP) ของก๊าซแต่ละประเภททุกๆสองสามปีและปรับค่า GWP ทุกๆ 20 ปี, 100 ปี และ 500 ปีของการทำนายผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่แม้แต่ข้อยกเว้นเหล่านี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับตลาดที่ต้องการตัวเลขเดียวที่มีเสถียรภาพในการแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่นตลาดคาร์บอนของ UN แม้ว่า IPCC จะมีการแก้ไขตัวเลขทำนายผล GWP ในช่วง 20 ปีและ 500 ปีที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้ และละเลยข้อผิดพลาดสำคัญๆในรายงาน IPCC อยู่บ่อยครั้ง (เช่นในกรณี HFC-23 บวกลบ 5000 CO2 เทียบเท่า) ทำให้การตีความเกิดผลเสียตามมา

ความเป็นเจ้าของและการปฏิเสธความรับผิดชอบ

ในการก่อตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตนั้น จะต้องมีผู้ผลิตเครดิตและผู้ต้องการซื้อเครดิตเสียก่อน หรืออีกนัยหนึ่งได้แก่ ถ้าเราต้องการก่อตั้งตลาดสำหรับปล่อยมลภาวะทางอากาศ จะต้องมีผู้ที่ทำให้มลภาวะนั้นหายากและมีค่าขึ้นมา จะต้องมีผู้รับเป็นเจ้าของมลภาวะดังกล่าว และจะต้องมีผู้ที่ต้องการ “เช่า” มลภาวะนั้น ซึ่งรัฐบาลเท่านั้นจึงมีอำนาจในการสร้างกลไกเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้ รัฐบาลต้องกระตุ้นให้เกิดความต้องการลดก๊าซ (ด้วยการทำให้การลดก๊าซหายากขึ้น) และกำหนดวิธีการผลิตหรือเป็นเจ้าของ ซึ่งสามารถทำได้โดยการกำหนด “Caps” หรือขีดจำกัดสูงสุดของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่ภาคธุรกิจ และสร้างสินค้าที่เป็นการลดก๊าซ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องใช้สมการ :

กำหนดขีดจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ C ในระยะเวลา P = สิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในขีดจำกัด C ภายในระยะเวลา P ที่สามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายได้

ตามสมการข้างตนแปลว่าการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ซึ่งก็คือการชะลอภาวะโลกร้อน) สามารถทำได้ด้วยการออกสิทธิในการปล่อยมลภาวะที่ขาดแคลนหรือทำให้ขาดแคลนโดยรัฐ และการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะสามารถทำได้โดยใช้สมการ :

การลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย = ออกสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในระยะเวลา P + 1 น้อยกว่าที่ออกในระยะเวลา P

ผู้ออกสิทธิหรือเจ้าของสิทธิรายแรกได้แก่รัฐบาลนั่นเอง ตัวอย่างเช่น European Union Allowances ที่กำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยนักการเมืองและข้าราชการภายใต้กลไก European Union Emissions Trading Scheme (EU ETS) แล้วจึงขายหรือให้ใบอนุญาตแก่บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่ปล่อยมลภาวะ และ Assigned Amount Units (AAU) หรือสินค้าที่ซื้อขายกันในตลาดคาร์บอนภายใต้พิธีสารเกียวโต ก็จะถูกผลิตขึ้นมาโดย UN Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) ก่อนที่จะถูกแจกจ่ายให้แก่รัฐบาลของประเทศอุตสาหกรรม (อ่านตอนจบในวันเสาร์นี้)


Social Share