THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย Clara Vondrich
วันที่  11 สิงหาคม 2022
แปลและเรียบเรียงโดย          ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย  https://www.desmog.com/2022/08/11/climate-action-quantum-social-change/
อ้างอิง  https://www.desmog.com/2022/08/11/climate-action-quantum-social-change/

เมื่อโลกได้เห็นจักรวาลเกิดใหม่ผ่านทางกล้องโทรทัศน์ของ James Webb เมื่อเดือนที่ผ่านมา เราจึงระลึกได้ว่ามนุษยชาติยังสามารถลงมือทำในสิ่งที่ยกระดับศักยภาพโดยรวมของเราได้ “เมื่อลูกหลานของเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ชี้ไปที่ดวงดาวและร้องว่า ‘มีชีวิตอาศัยอยู่ที่นั่น!’ นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งไปว่าเมื่อโคเปอร์นิคัสค้นพบว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลจากการค้นพบว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆนอกเหนือโลกของเรา” นางสาว Natalie Batalha นักดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งเมืองซานตาครูซกล่าว

แต่เมื่อเรามองย้อนกลับมาที่ดาวพระเคราะห์โลกเอง ลัทธิต่อต้านวิทยาศาสตร์และผลประโยชน์ส่วนบุคคลทำให้เราตกอยู่ในวิกฤติสิ่งแวดล้อม ถ้าเราไม่ลงมือแก้ไขโดยทันที ลูกหลานของเราอาจต้องชี้ไปที่ดวงดาวและร้องว่า ‘มีชีวิตอาศัยอยู่ที่นั่น!’ และหวังว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วย ภัยที่สำคัญที่สุดจากภาวะโลกร้อนมิได้มาจากกลุ่มที่ปฏิเสธภาวะโลกร้อนที่ได้รับเงินทุนจากภาคอุตสาหกรรมที่เหลือตกค้างมาจากยุค 1990 แต่มาจากผู้นำทางการเมืองและภาคธุรกิจที่พัฒนาแนวทางแก้ปัญหาไปจนกลายเป็นประเด็นที่สุดโต่งที่สุดในยุคสมัยของเรา พวกเขาบอกว่าเราไม่สามารถดำเนินการแก้ปัญหาที่เร็วเกินไปโดยไม่ทำให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมล่มสลายได้ เราจึงต้องค่อยๆลด ละ เลิกใช้พลังงานฟอสซิลทีละน้อย ส่วนวิธีการอื่นๆนั้นเป็นเพียงเรื่องไร้เดียงสา

อย่างไรก็ตาม วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวที่คิดขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลทั้งหลายนี้คือทางด่วนสู่หายนะ การแก้ปัญหาแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจได้ผลเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ในปัจจุบันเป็นวิธีที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ นานาชาติจะต้องหยุดใช้พลังงานฟอสซิลโดยทันทีแม้ว่าจะทำให้เกิดผลกระทบที่ตามมามากมายก็ตาม แต่พวกเขากลับใช้สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นข้ออ้างในหารสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ท่อส่งน้ำมัน และแท่นขุดเจาะใหม่ๆที่จะดำเนินการไปได้อีก 50 ปีเป็นอย่างน้อย

หลังจากสิบปีที่มีความก้าวหน้าที่น้อยมากในการออกกฎหมายเพื่อปกป้องสภาพภูมิอากาศ สภาคองเกรสของสหรัฐฯมุ่งที่จะออกกฎหมายใหม่ที่มีความหมายมากที่สุดแห่งยุค อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้จะอนุญาตให้ธุรกิจในภาคพลังงานฟอสซิลซื้อขายสิทธิที่ได้จากการพัฒนาพลังงานสะอาดเพื่อเดินหน้าขออนุญาตสร้างท่อส่งน้ำมันต่อไป ซึ่งมิใช่สัญญาณที่ดีต่อภาวะโลกร้อน แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากหนทางสู่หายนะนี้ยังไม่แน่นอน? เราจะทำอะไรได้บ้างที่จะแก้ไขชะตากรรมของเรา? อะไรจะเกิดขึ้นถ้าข้อเท็จจริงตามมาด้วยข้อยกเว้น?

การเปลี่ยนแปลงที่สุดโต่งก็ต้องใช้วิธีคิดที่สุดโต่ง

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิง Quantum เป็นทฤษฎีใหม่แหวกแนวที่คิดค้นขึ้นร่วมกันโดยนักสังคมศาสตร์อดีตสมาชิก IPCC ชื่อดร. Karen O’Brien นักจิตวิทยาดร. Zhiwa Woodbury และสื่อมวลชนนางสาว Lynn McTaggart ซึ่งเสนอทฤษฎีหลุดโลกที่อธิบายถึงบทบาทของโลกในระดับ Subatom ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของคนเราแบบเดียวกับที่ Quantum Physics คือการค้นพบที่เปลี่ยนมุมมองของมนุษย์ที่มีต่อสสารและพลังงานและลบล้างทฤษฎีของนิวตันที่เป็นรากฐานของวิชาฟิสิกส์และใช้ทำนายเหตุและผลมาช้านาน ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิง Quantum ก็ได้รับความคาดหมายว่าจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อของเราในลักษณะเดียวกัน

บางคนอาจโต้แย้งว่าการนำแนวคิด Quantum Physics มาใช้ในงานเชิงสังคมนั้นอย่างดีก็เป็นเพียงศาสตร์จอมปลอม หรืออย่างแย่ก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน เป็นความพยายามที่สิ้นหวังในช่วงเวลาที่สิ้นหวัง ทว่านักวิจารณ์เหล่านี้พลาดไปเรื่องหนึ่ง กล่าวคือนักเคลื่อนไหวทางสังคมเชิง Quantum ทำให้เรามองข้ามทางสองแพร่งที่คุ้นเคยและพยายามมองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆตามที่ Albert Einstein เคยกล่าวไว้ว่า “เราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยความคิดในระดับเดียวกับความคิดที่สร้างปัญหานั้นขึ้นมา ทฤษฎี Quantum ช่วยให้เราปลดล็อคความคิดของตัวเราเอง

ความพัวพันทาง Quantum (Entanglement), การเติมเต็มซึ่งกันและกัน, Non-local Effects, ศักยภาพ, และความไม่แน่นอน เหล่านี้หากนำมาใช้ในการณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมแล้วละก็อาจเปิดโอกาสให้เกิดการปฏิรูปพลังงานที่ทันเวลาพอที่จะหยุดยั้งมิให้ระดับอุณหภูมิผิวโลกสูงขึ้นเกินจุดอันตราย แต่คำศัพท์เหล่านี้หมายถึงอะไร? และเราจะนำเอาทฤษฎีเหล่านี้มาปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างไร?

Entanglement หรือความพัวพันในโลกของ Quantum หมายถึงอนุภาคต่างๆมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและไม่แสดงปฏิกิริยาด้วยตัวเองโดดๆ การเปลี่ยนแปลงในอนุภาคหนึ่งจะสะท้อนโดยอีกอนุภาคหนึ่งโดยทันทีแม้จากระยะทางที่ห่างไกล ซึ่ง Einstein เรียกว่า Non-local Effects และมองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าขนลุกเพราะเขาไม่สามารถอธิบายมันด้วยหลักเหตุและผลแบบเดิมได้

เหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสหรัฐอเมริกาเตือนเราว่าการตัดขาดทางสังคมเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน อัตตาและลัทธิปัจเจกแบบสุดโต่งอยู่เบื้องหลังการลิดรอนสิทธิมนุษยชน ความเจริญงอกงามของเผด็จการ และความล่มสลายของวัฒนธรรมท้องถิ่นและโลกแห่งธรรมชาติ ในทางตรงกันข้าม ชุมชนและความสัมพันธ์ระหว่างกันพิสูจน์แล้วว่าปกป้องมนุษย์จากความเครียด ให้ความหมายแก่ชีวิต และให้เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ยิ่งเราพัวพัน  (Entangle) มากเท่าใดยิ่งดี

จากประสบการณ์ที่เป็นนักสิ่งแวดล้อมและอดีตหัวหน้าทีมปฏิรูปพลังงานของ Divest Invest ข้าพเจ้าได้ประจักษ์ต่ออำนาจของ Entanglement อย่างใกล้ชิด การรณรงค์เพื่อกดดันให้นักลงทุนถอนทุนออกจากภาคพลังงานฟอสซิลเริ่มจากกลุ่มนักศึกษาเพียงหยิบมือในปี 2012 สิบปีต่อมา สถาบันการศึกษากว่า 1,500 สถาบันที่มีสินทรัพย์รวม 40 ล้านล้านดอลล่าร์ร่วมลงทุนในการปฏิรูปพลังงานในโครงการจำนวนมาก (อ่านตอนจบได้ในวันพฤหัสบดี)


Social Share