THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย  Georgia Wright, Liat Olenick และ Amy Westervelt
วันที่  27 ตุลาคม 2021
แปลและเรียบเรียงโดย  ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบ The dirty dozen: meet America’s top climate villains
อ้างอิง The dirty dozen: meet America’s top climate villains

รายชื่อที่คุ้นหู 12 คนต่อไปนี้เป็นผู้ที่หาผลประโยชน์ส่วนตนจากชะตากรรมของมนุษยชาติ นานมาแล้วที่ชาวอเมริกันได้รับการกล่าวหาว่าพวกเขาทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อปัญหาโลกร้อน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีคนเพียงหยิบมือที่ก่อปัญหาโดยแท้จริง อุตสาหกรรมที่ปล่อยมลภาวะมากที่สุดของประเทศมักสามารถหลบเลี่ยงความรับผิดชอบและการตรวจสอบจากภาครัฐและสาธารณชนได้เสมอในขณะที่ร่วมมือกับภาคพลังงานเดินหน้าทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง การกระทำของเหล่าร้ายต่อภูมิอากาศเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคนนับพันล้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนเปราะบางที่มิได้มีส่วนร่วมต่อการสร้างปัญหาโลกร้อน ดังนั้นจึงตกเป็นหน้าที่ของชนชั้นกลางที่จะต้องหยุดโทษตัวเองในเรื่องโลกร้อนและร่วมพลังกันกดดันให้ผู้ร้ายตัวจริงเหล่านี้ออกมารับผิดชอบเพื่อนำโลกใบเดิมที่เป็นของเราทุกคนคืนมา

Mike Wirth ฉายานักโวค
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Chevron

นาย Mike Wirth แห่ง Chevron เป็นหนึ่งในผู้เสียชื่อเสียงมากที่สุดในเรื่องสร้างมลภาวะโดยปล่อยมลภาวะทางอากาศมากที่สุดในโลก ภายใต้การนำของ Mike Wirth บริษัท Chevron ได้เน้นการใช้กลยุทธ์ฟอกเขียวเพื่อลดแรงต้านของสังคมที่มีต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท กลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมได้ยื่นฟ้องร้องต่อคณะกรรมการกลางการค้าหรือ Federal Trade Commission ของอเมริกาต่อ Chevron ในข้อหาทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดโดยอ้างความรับผิดชอบเพียงเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมการกลั่นและขนส่งน้ำมัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วจะต้องรวมเอาผลกระทบที่เกิดจากตัวสินค้าได้แก่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเข้าไว้ด้วย

นอกจากนี้นาย Mike Wirth ยังนั่งเก้าอี้คณะกรรมการสถาบัน American Petroleum Institute ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ค้าน้ำมันที่มีประวัติปฏิเสธเรื่องภาวะโลกร้อนว่าเป็นเรื่องหลอกลวงและดึงกฎหมายที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซให้บังคับใช้ช้าลงมาอย่างยาวนาน

จากปากของเขาเอง : “ให้พวกเขา (นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม) ปลูกต้นไม้กันไป”

Darren Woods ฉายาหัวหน้าแก๊ง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Exxon

เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ExxonMobil เป็นบริษัทน้ำมันรายแรกๆที่รู้เกี่ยวกับการเริ่มต้นของภาวะโลกร้อนเมื่อ 40 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังลงทุนนับสิบล้านดอลล่าร์ในการปฏิเสธภาวะโลกร้อนและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปคิดปริมาณเป็นอันดับสี่จากภาคธุรกิจทั่วโลก นาย Darren Woods ที่ทำงานกับบริษัทมาตั้งแต่ปี 1992 ทำรายได้กว่า 20 ล้านดอลล่าร์ต่อปี และแม้ว่าเขาจะประกาศสนับสนุนข้อตกลงปารีสในปี 2015 ที่จะลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เอกสารที่หลุดออกมาจากบริษัทแสดงถึงแผนของเขาที่จะเพิ่มการปล่อยก๊าซขึ้นร้อยละ 17% ภายในปี 2025

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นักล็อบบี้ของ Exxon ถูกถ่ายคลิปวิดีโอไว้ได้ในขณะที่พยายามขัดขวางกฎหมายสิ่งแวดล้อมในสภา ต่อมานาย Woods และบริษัทได้ไล่นักล็อบบี้ออกและกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวมิได้เป็นจุดยืนของบริษัท Exxon

จากปากของเขาเอง : “เกณฑ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องที่ดีต่อการแข่งขันทางธุรกิจ”

Jamie Dimon ฉายานักดัน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคาร Chase

นาย Jamie Dimon นักธุรกิจพันล้านที่เป็นหนึ่งในหัวกะทิของ JP Morgan Chase ที่ลงทุนกว่า 3.17 แสนล้านดอลล่าร์ในพลังงานฟอสซิล ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าการลงทุนของธนาคารอื่นๆถึงร้อยละ 33 นับตั้งแต่ข้อตกลงปารีสเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2015 ภายใต้การบริหารงานของนาย Dimon ธนาคาร Chase เพิ่มทุนอีกกว่า 2 พันล้านดอลล่าร์ในโครงการขุดเจาะทรายน้ำมันระหว่างปี 2016-2019

เมื่อถามนาย Greg Determann กรรมการผู้จัดการของ Chase เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าธนาคารยังจะออกเงินกู้ให้แก่บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต่อไปหรือไม่เมื่อภาวะโลกร้อนเลวร้ายลงทุนที นาย Determann ตอบว่า “คุณ Dimon มุ่งมั่นในธุรกิจนี้มากเนื่องจากเป็นที่มาของรายได้ก้อนใหญ่ของเราในปัจจุบันและอีกหลายสิบปีข้างหน้า”

จากปากของเขาเอง : “การแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยการเลิกใช้พลังงานฟอสซิลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”

Larry Fink ฉายานักระดมทุน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BlackRock

ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของ BlackRock นาย Larry Fink บริหารบรรษัทการเงินที่มีการลงทุนในพลังงานฟอสซิลมากที่สุดในโลกหรือคิดเป็นเงินจำนวน 8.7 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และแม้ว่านาย Larry Fink จะให้คำสัญญามากมายว่าจะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนและแม้แต่ช่วยออกแบบแนวทางสู่เป้าหมาย Net Zero แต่ธนาคารของเขาก็ยังทำกำไรจากการตัดไม้ทำลายป่ามากกว่าบริษัทใดๆในโลก นอกจากนี้นาย Fink ยังผลักดันให้ BlackRock ออกเสียงคัดค้านแนวทางทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นที่บรรดาผู้ถือหุ้นเสนอในขณะที่ยังรับทุนที่ควรนำไปสนับสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อนจากรัฐบาลกลาง

จากปากของเขาเอง : “ถ้าไม่มีการดำเนินการในระดับนานาชาติ ทุกประเทศจะต้องได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนซึ่งรวมถึงความเสียหายที่ประเมินค่ามิได้จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ”

(อ่านต่อวันพฤหัสบดี)


Social Share