THAI CLIMATE JUSTICE for All

Social Share

เขียนโดย  Georgia Wright, Liat Olenick และ Amy Westervelt
วันที่  27 ตุลาคม 2021
แปลและเรียบเรียงโดย  ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบ Profiteering from a Billion Deaths- The business of climate change
อ้างอิง The dirty dozen: meet America’s top climate villains

(ต่อจากวันอังคาร)

รายชื่อที่คุ้นหู 12 คนต่อไปนี้เป็นผู้ที่หาผลประโยชน์ส่วนตนจากชะตากรรมของมนุษยชาติ

Charles Koch ฉายาคิงพิน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Koch Industries

นาย Charles Koch กับพี่ชายผู้ล่วงลับของเขา นาย David มีประวัติด้านทำลายสิ่งแวดล้อมยาวเป็นหางว่าว นักธุรกิจพันล้านรายนี้อยู่ในตำแหน่งผู้นำของ Koch Industries ที่ทำธุรกิจด้านกลั่นและส่งออกปิโตรเคมีมาอย่างยาวนานจนได้รับฉายาจาก Greenpeace ว่า “คิงพินแห่งการปฏิเสธภาวะโลกร้อน”

พี่น้อง Kochs โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Charles เข้าสู่วงการการเมืองเรื่องภาวะโลกร้อนก่อนคนอื่น โดยเริ่มจากการก่อตั้งและให้ทุนแก่สถาบัน Cato ที่เป็น Thinktank แนวเสรีนิยมที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าปฏิเสธภาวะโลกร้อน และเป็นสถาบันแรกที่ทำให้เกิดความแตกแยกทางแนวคิดเรื่องภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ Koch Industries ยังสนับสนุนทุนกว่า 150 ล้านดอลล่าร์แก่กลุ่มที่ปฏิเสธภาวะโลกร้อนในช่วงปี 1997-2018

ตั้งแต่การตายของพี่ชายเป็นต้นมา นาย Charles พยายามที่จะกู้ชื่อเสียงของตนกลับคืนมาจากการแบ่งพรรคแบ่งพวกดังกล่าว อย่างไรก็ตามจากรายงานของ OpenSecrets นั้น Koch Industries ยังคงใช้จ่ายเงินจำนวนถึง 5.6 ล้านดอลล่าร์เพื่อล็อบบี้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในปีนี้

จากปากคำของเขาเอง : “นี่เราทำพลาดไปใช่มั้ย มันช่างวุ่นวายจริงๆ!”

Mitch McConnell ฉายานักขัดขวาง
ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา

นาย Mitch McConnell ยอมรับว่าเขาเชื่อว่ามนุษย์คือต้นตอของปัญหาโลกร้อนในปี 2020 เพียงปีเดียว แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็กลายเป็นผู้นำการคัดค้านด้านภาวะโลกร้อนของฝ่ายรีพับลิกัน ภายใต้รัฐบาลของนายบารัค โอบาม่าที่ถูกโจมตีว่านโยบายแก้ไขปัญหาโลกร้อนนั้นเป็นการ “ประกาศสงครามต่อถ่านหิน” นาย McConnell ได้ใช้การอภิปรายขัดขวางมติแม้แต่ต่อการปฏิรูปสภาพภูมิอากาศที่เล็กน้อยที่สุดที่สมาชิกเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาเสนอ

ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ นาย McConnell ได้ใช้การอภิปรายไม่เห็นด้วยคัดค้านข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนแต่กลับไปสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมที่เป็นต้นตอต่อศาลสูงของสหรัฐฯ รวมทั้งนางสาว Amy Coney-Barrett ที่มีสายสัมพันธ์กับบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ (ผ่านทางบิดาที่ทำงานให้แก่บริษัทเชลล์มาหลายทศวรรษ) ปัจจุบันนาย McConnell ทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันทั้งหมดโหวตต่อต้านนโยบายแก้ปัญหาโลกร้อนของประธานาธิบดีไบเดน

นอกจากนี้นาย McConnell ยังรับเงินสนับสนุนจำนวนมากจากบริษัทน้ำมันคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 ล้านดอลล่าร์ตลอดชีวิตการทำงานของเขา

จากปากคำของเขาเอง : “ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์”

นาย Joe Manchin ฉายานักก่อวินาศกรรม
สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ

ปัจจุบันนาย Joe Manchin สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นเสียง Swing Vote ในการพิจารณากฎหมายที่สำคัญๆ แต่เรื่องราวที่แท้จริงได้แก่การที่อุตสาหกรรมฟอสซิลทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านจากการก่อตั้งเหมืองถ่านหินสองบริษัทขึ้นในยุค 1980

ในขณะที่แม้แต่เหมืองถ่านหินในรัฐบ้านเกิดของเขาเองได้แก่รัฐ West Virginia ยังสนับสนุนนโยบาย Green New Deal ของไบเดน แต่นาย Manchin กลับใช้ตำแหน่งของตนเองถ่วงกฎหมายสิ่งแวดล้อมให้ช้าลงเพื่อประโยชน์ของบริษัทน้ำมันด้วยการขู่ว่าจะโหวตล้มนโยบาย Build Back Better ของไบเดน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นักล็อบบี้ของ Exxon ถูกจับได้ว่าพูดถึงนาย Manchin ว่าเป็น “คนของเรา” และพบปะกันหลายครั้งในสัปดาห์นั้น จากรายงานของ OpenSecrets นาย Manchin รับเงินจากบริษัทน้ำมันมากกว่าใครอื่นในพรรค Democrat

จากปากคำของเขาเอง : “ถ้าคุณเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียและพูดว่าพลังงานฟอสซิลควรหมดไปจากอเมริกา และคิดว่ามันจะทำให้ปัญหาโลกร้อนหมดไปแล้วละก็ มันไม่จริงหรอก ปัญหาโลกร้อนมีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”

นาย Mark Zuckerberg ฉายานักโฆษณา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง Facebook

นาย Zuckerberg ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสินทรัพย์กว่า1.20 แสนล้านดอลล่าร์แสดงเจตจำนงอยู่เสมอว่าจะทำกำไรจากอุตสาหกรรมฟอสซิลด้วยการเผยแพร่ลัทธิปฏิเสธการมีอยู่จริงของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ในเดือนเมษายนปี 2021 นาย Zuckerberg แถลงต่อสภาคองเกรสว่าความเข้าใจผิดเรื่องภาวะโลกร้อนนั้น “เป็นปัญหาใหญ่” แต่ Facebook ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่จะแก้ความเข้าใจผิดนั้นเสียใหม่หรือท้าทายอุตสาหกรรมฟอสซิลแต่อย่างใด

เมื่อปีที่ผ่านมา โฆษณาสนับสนุนพลังงานฟอสซิลของ Facebook มียอดวิวถึง 431 ล้านครั้งเพียงในครึ่งแรกของปี 2020 และเรียกภาวะโลกร้อนว่าเป็นข่าวปลอม 8 ล้านครั้งเพียงแค่ในสหรัฐฯเพียงประเทศเดียว

ในปี 2019 บทความที่กล่าวอ้างอย่างผิดๆว่าภาวะโลกร้อนเป็นผลมาจากวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนไปของโลกได้รับความสนใจจากชาวโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากคิดเป็นยอดวิวนับล้านโดยไม่มีการเข้าแทรกแซงจากทาง Facebook แต่อย่างใด และในปี 2021 รายงานของ OpenSecrets เปิดเผยว่าในสองเดือนแรกของปี Facebook เผยแพร่ข้อมูลที่ปฏิเสธการมีอยู่จริงของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์สู่กลุ่มเป้าหมายกว่า 25 ล้านคน ในขณะที่พยายามจำกัดการมองเห็นบทความเรื่องภาวะโลกร้อนที่นักวิทยาศาสตร์แชร์เพื่อขอ Peer Review

จากปากคำของเขาเอง : “เดินหน้าให้เร็วและทำลาย ถ้ายังไม่มีอะไรถูกทำลาย นั่นเป็นเพราะคุณยังก้าวหน้าไม่เร็วพอ”

(อ่านตอนจบวันเสาร์นี้)


Social Share