THAI CLIMATE JUSTICE for All

โครงการชดเชยคาร์บอนไม่ได้ทำให้มลภาวะลดลง

เขียนโดย Nina Lakhani
วันที่ 19 กันยายน 2023
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์

รายงานของ Corporate Accountability และ The Guardian พบว่าเครดิตที่ผลิตโดยโครงการชดเชยคาร์บอนส่วนใหญ่ที่ดำเนินการอยู่นั้นเป็น ‘เครดิตขยะ’ เนื่องจากมีความผิดพลาดขั้นพื้นฐานหลายประการ จึงทำให้เราไม่สามารถพึ่งพาตลาดคาร์บอนเครดิตในการแก้ปัญหาโลกร้อนได้

ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจที่มีมูลค่ารวมหลายพันล้านดอลล่าร์ฯทั่วโลกนี้ได้รับการยอมรับจากภาครัฐ องค์กรสถาบัน เอกชน ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมผลิตก๊าซและน้ำมันเชื้อเพลิง สายการบิน อาหารฟาสต์ฟู้ด แฟชั่น เทคโนโลยี ห้องแสดงผลงานศิลปะ และมหาวิทยาลัยที่ซื้อเครดิตแทนการลดก๊าซเรือนกระจกที่ตนเองปล่อยจากกระบวนการทางธุรกิจ

กลไกของตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจได้แก่การซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปของคาร์บอนเครดิต ที่ผู้ซื้อสามารถนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการทางธุรกิจของตนเองด้วยการลงทุนในโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่อ้างว่าได้ดูดซับก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่อื่น

อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ว่าโครงการเหล่านี้อ้างคุณภาพและจำนวนเครดิตเกินจริง และเลี่ยงที่จะพูดถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ตามมา

เมื่อเร็ว ๆ นี้ The Guardian และนักวิจัยจาก Corporate Accountability ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่คอยตรวจสอบการดำเนินงานของบรรษัทข้ามชาติต่าง ๆ ได้ร่วมมือกันตรวจสอบโครงการผลิตคาร์บอนเครดิตจำนวน 50 โครงการที่ครองส่วนแบ่งตลาดคาร์บอนเครดิตมากที่สุดในปัจจุบันและพบว่า :

เครดิตจากโครงการจำนวน 39 จากทั้งหมด 50 โครงการหรือร้อยละ 78 เป็นเครดิตขยะเนื่องจากความผิดพลาดขั้นพื้นฐานหลายประการที่ทำให้ไม่เกิดการลดก๊าซที่เป็นรูปธรรม

โครงการอีกร้อยละ 16 มีแนวโน้มที่จะผลิตเครดิตขยะเช่นเดียวกับกลุ่มแรก

ที่เหลือสามโครงการหรือร้อยละ 6 นั้น นักวิจัยไม่สามารถลงความเห็นได้เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะประเมินคุณภาพของเครดิตตามที่เจ้าของโครงการกล่าวอ้างได้

โดยสรุปแล้ว คาร์บอนเครดิตมูลค่า 1.16 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯที่ผลิตโดย 50 โครงการดังกล่าวที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดส่วนใหญ่เป็นเครดิตขยะ และอีก 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเครดิตขยะ

โครงการผลิตคาร์บอนเครดิต 50 โครงการรวมถึงโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ทุ่งพลังงานลมและโซลาร์เซลล์ โครงการกำจัดขยะ และเครื่องใช้ครัวเรือนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศกำลังพัฒนากว่า 20 ประเทศ

จากข้อมูลของ AlliedOffsets ซึ่งเป็นฐานข้อมูลซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่มีอยู่ ที่ครอบคุลมหนึ่งในสามของตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจทั่วโลก บ่งชี้ว่าส่วนใหญ่เป็นการอ้างคุณภาพและจำนวนเครดิตเกินจริง

จากการวิเคราะห์ของเรา โครงการที่เข้าข่ายว่าผลิตเครดิตขยะได้แก่โครงการที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ไม่สามารถรับประกันการลดก๊าซเรือนกระจกส่วนเพิ่มอย่างยั่งยืนได้ ในบางกรณีพบหลักฐานว่าโครงการเองปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือไม่ก็ย้ายการปล่อยก๊าซไปที่อื่น บ้างก็อ้างคุณประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาโลกร้อนที่เกินจริง หรือบางโครงการก็อ้างว่าสามารถดำเนินการโดยอิสระได้ไม่ว่าจะมีตลาดคาร์บอนหรือไม่ก็ตาม

เราได้รับผลการศึกษาเหล่านี้ก่อนการประชุมสุดยอดสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่นิวยอร์คและแสดงความกังวลว่าผู้นำโลกจะให้คำมั่นที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนหันเข้าหาแนวทางการแก้ไขโดยใช้กลไกตลาดแทนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมและทันต่อเหตุการณ์

“ผลพวงที่จะตามมานั้นเป็นเรื่องใหญ่ มันทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจเต็มไปด้วยเครดิตขยะ” นาย Anuradha Mittal ผู้อำนวยการสถาบัน Oakland Institute อธิบาย “เราไม่มีเวลาที่จะมาเสียกับแนวทางแก้ปัญหาผิด ๆ เช่นนี้ และขอบเขตของปัญหาก็ได้ขยายวงกว้างเกินกว่าการรับรองเครดิตไปแล้ว และกลไกตลาดคาร์บอนก็ถ่วงการแก้ปัญหาที่แท้จริงให้ช้าลง”

แต่สถาบันจดทะเบียนและรับรองเครดิตที่รับรองเครดิตจากโครงการชั้นนำ 50 โครงการแรกกล่าวว่าตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน และวิธีการป้องกันและแก้ปัญหาก็ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

เหล่านักวิชาการอิสระให้สัมภาษณ์ว่าการทำให้คาร์บอนเครดิตมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงนั้น เราจะต้องเชื่อมโยงมูลค่าของเครดิตเข้ากับกิจกรรมการลดก๊าซส่วนเพิ่มที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากโครงการ และโครงการจะต้องไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้จะต้องมีการกำกับดูแลมิให้โครงการกล่าวอ้างจำนวนและคุณภาพของเครดิตเกินจริงด้วยการอ้างปริมาณก๊าซที่ลดได้ต่อหนึ่งเครดิตเกินความเป็นจริง

งานวิจัยของเราอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลจากทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิเช่นนักวิชาการอิสระ งานวิจัยของมหาวิทยาลัย ภาคประชาสังคม สถาบันจดทะเบียนและรับรองเครดิต ฐานข้อมูลและเรตติ้งของบริษัทเอกชน และข้อมูลจากสื่อมวลชน นอกจากนี้ และโครงการดังกล่าวจะต้องมีงานวิจย ฐานข้อมูล

นอกจากนี้ The Guardian ร่วมกับ Corporate Accountability ยังได้จัดทำระบบประเมินโครงการที่ประกอบไปด้วยเกณฑ์ขั้นพื้นฐาน หนึ่งในนั้นได้แก่โครงการก่อให้เกิดการลดก๊าซส่วนเพิ่มที่ยั่งยืนหรือไม่ ซึ่งใช้เป็นปัจจัยหลักเพื่อตัดสินว่าเครดิตที่ผลิตได้เป็นเครดิตขยะหรือไม่ ส่วนผลกระทบด้านสุขภาวะ สังคม เศรษฐกิจ และผลกระทบเชิงลบที่มีต่อชุมชนท้องถิ่นนั้นอยู่นอกขอบเขตของการศึกษาครั้งนี้

จากงานวิจัยของเราพบว่ากว่าหนึ่งในสามของโครงการชั้นนำ 50 โครงการนี้มีความผิดพลาดขั้นพื้นฐานอย่างน้อยสามประการ หนึ่งในโครงการนั้นได้แก่โครงการอนุรักษ์ป่าขนาดยักษ์ในประเทศซิมบับเวที่มีรายงานว่ากล่าวอ้างจำนวนและคุณภาพเครดิตเกินจริง หรือย้ายการปล่อยก๊าซไปพื้นที่อื่นแทนที่จะลดการปล่อยก๊าซ ทำให้เกิดช่องว่างทางการเงิน “มากกว่าสวิสชีสเสียอีก” จากรายงานของ Bloomberg ผู้เชี่ยวชาญพบการกล่าวอ้างจำนวนและคุณภาพเครดิตเกินกว่าความจริงไปถึง 5-30 เท่าโดยเฉลี่ยเลยทีเดียว

ในสหรัฐอเมริกา โครงการที่มีปัญหามากที่สุดได้แก่โครงการดักจับคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่ในรัฐไวโอมิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินภาษีของประชาชน ทว่า CO2 ที่ดักจับได้ในโครงการนี้ถูกขายเป็นเครดิตให้แก่บริษัทน้ำมันเพื่อจะได้ดำเนินการสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมันใหม่ๆต่อไปตามรายงานของสถาบัน the Institute for Energy Economics and Financial Analysis เครดิตที่โครงการนี้ผลิตได้ ได้รับการรับรองโดยสถาบันจดทะเบียนเครดิตแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ American Carbon Registry (ACR) ที่แจ้งว่าไม่มีเครดิตที่ผลิตออกมาใหม่ภายในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าภาคธุรกิจจะยังซื้อเครดิตเก่าๆเพื่อมาชดเชยการปล่อยก๊าซกันอยู่ในปัจจุบัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดคาร์บอนกล่าวว่าข้อมูลนี้ได้จากระเบียบวิธีการวิจัยที่ถูกต้อง ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่าการแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยกลไกตลาดมีแต่จะทำให้อุตสาหกรรมที่ปล่อยมลภาวะสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้แทนที่จะใช้วิธีการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างยั่งยืน

“หลายฝ่ายมองว่าความผิดพลาดของกลไกอยู่ที่หัวใจของตลาดคาร์บอนเอง ได้แก่การเอื้อให้ภาคธุรกิจหลีกเลี่ยงการลดก๊าซที่เป็นรูปธรรมด้วยการสนับสนุนกิจกรรมลดหรือดูดซับก๊าซในพื้นที่อื่น การหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนผ่านพลังงานด้วยการซื้อเครดิตเป็นเพียงเรื่องของธุรกิจแบบเดิมๆ ซึ่งจะนำไปสู่หายนะด้านสิ่งแวดล้อม” นาง Erika Lennon อัยการอาวุโสของโครงการพลังงานและสภาพภูมิอากาศแห่ง Center for International Environmental Law กล่าว

นอกจากนี้ การประเมินโครงการที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้พบความผิดพลาดขั้นพื้นฐานในโครงการปลูกป่าคาร์บอน และเป็นปัญหาที่แพร่หลายกว่า กล่าวคือโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้งหมด 10 โครงการจากโครงการชดเชยคาร์บอนชั้นนำ 50 โครงการ ซึ่งรวมถึงเขื่อน Teles Pires ในป่าอเมซอนของบราซิลและโรงไฟฟ้า Karcham Wangtoo ในพื้นที่หิมาลายา ประเทศอินเดียเป็นโครงการที่ถูกต้อต้านโดยชนพื้นเมือง นอกจากนี้ยังเป็นโครงการที่ผลิตเครดิตขยะ เพราะงานวิจัยพบว่า แม้ว่าโครงการจะสามารถลดก๊าซได้ในระดับประเทศ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เกิดการลดหรือดูดซับก๊าซส่วนเพิ่มได้ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดิน ทำให้ชุมชนต้องเสียที่ดินทำกิน สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย และปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการสร้างและเดินเครื่องเขื่อน

อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่โครงการทางตะวันตกของประเทศเคนยาที่แจกจ่ายเครื่องกรองน้ำให้แก่ชาวบ้านเพื่อไม่ให้ชาวบ้านต้องตัดไม้มาต้มน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรค แม้ว่าโครงการนี้จะตอบโจทย์เรื่องสุขอนามัย แต่เครดิตที่ผลิตได้ก็เป็นเครดิตขยะเพราะประมาณการไม้ที่ถูกตัดเพื่อนำมาต้มน้ำเกินกว่าความจริงโดยประมาณเอาจากจำนวนเครื่องกรองที่ชาวบ้านรับไปใช้

นาง Barbara Haya ผู้อำนวยการโครงการซื้อขายคาร์บอน Berkeley Carbon Trading Project ที่เมื่อเร็วๆนี้ได้เผยแพร่รายงานที่มีข้อสรุปว่าโครงการ Redd+ ของ Verra มีการกล่าวอ้างประโยชน์ของการชดเชยคาร์บอนของโครงการที่เกินจริงเช่นเดียวกับโครงการคาร์บอนอื่นๆ โดยมีใจความว่า “ผลการศึกษาพบความสอดคล้องกับงานวิจัยคุณภาพของคาร์บอนเครดิตที่แพร่หลายในตลาดคาร์บอนไปจนถึงโครงการปลูกป่า ฟื้นฟูป่า และผลิตพลังงานสะอาด ได้แก่การที่โครงการเหล่านี้อ้างจำนวนและคุณภาพของเครดิตเกินจริง”

ผู้บริหารโครงการ Verra ได้ออกมาตอบโต้ว่าหลายประเด็นในรายงานจะได้รับการแก้ไขในการปรับปรุงเมื่อโครงการนำเอาแนวทางวิธีการคำนวณคาร์บอนเครดิตแบบใหม่มาใช้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา องค์กร International Energy Agency (IEA) ได้เตือนไว้ว่าโลกจะต้องไม่สำรวจและขุดเจาะแหล่งพลังงานฟอสซิลเพิ่มเติมมิฉะนั้นจะต้องประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ประชาคมโลกประสบความล้มเหลวในการทำตามคำเตือนดังกล่าว การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศโลกไม่ประสบความสำเร็จจากการสำรวจโดย UN Global Stocktake ที่เป็นทีมวิเคราะห์ความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาโลกร้อนที่น่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน

“สภาพภูมิอากาศโลกเริ่มพังทลาย” นาย António Guterres เลขาธิการสหประชาชาติให้สัมภาษณ์หลังจากมีรายงานว่าอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในฤดูร้อนปีนี้ “สภาพภูมิอากาศของโลกเราเสื่อมโทรมลงด้วยอัตราที่รวดเร็วกว่าที่เราจะรับมือได้เพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก”

นักวิทยาศาสตร์ได้ออกโรงเตือนสังคมโลกในเรื่องเดียวกันนี้มานานกว่ายี่สิบปี แต่แทนที่จะลดและเลิกใช้พลังงานฟอสซิล เรากลับใช้ทรัพยากรและเวลามากมายไปกับการสร้างกลไกตลาดคาร์บอนเครดิตเพื่อการดูดซับคาร์บอนและนำมาซื้อชายในรูปของเครดิต

ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็นตลาดที่ใหญ่ กระจัดกระจาย และคลุมเครือ ประกอบไปด้วยเครือข่ายของนักพัฒนา สถาบันจดทะเบียนเครดิต ตลาด โบรคเกอร์ และนักลงทุนที่ซับซ้อน ทำให้ยากต่อการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยง ยังไม่รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการซื้อขายเครดิตไม่ทำให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นรูปธรรมอีกด้วย

นักวิจัยจากสถาบัน Corporate Accountability ได้สร้างระบบจำแนกเครดิตเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการผลิตเครดิตชั้นนำ 50 โครงการโดยใช้ข้อมูลจาก AlliedOffsets พบว่าส่วนมากมุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ตนเองว่าเป็นโครงการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกโดยใช้กลไกดักจับคาร์บอน และนำคาร์บอนเครดิตที่ได้มาไปขึ้นทะเบียนกับสถาบันรับรองอิสระที่มีอยู่ 7 สถาบัน กล่าวคือ :

โครงการผลิตเครดิตชั้นนำ 50 โครงการรวมถึงโครงการปลูกป่าในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ที่การสำรวจโดย Bloomberg ในปี 2020 พบว่า “นับเครดิตจากต้นไม้ที่มีอยู่แล้วหรือที่กำลังจะปลูกอยู่แล้วโดยผู้อื่น” และโครงการน้ำมันในไวโอมิ่งที่ดักจับคาร์บอนเพียงเล็กน้อย เครดิตที่ผลิตจากทั้งสองโครงการถูกมองว่าเป็นขยะเพราะข้อผิดพลาดขั้นพื้นฐานหลายประการ สถาบัน American Carbon Registry (ACR) ที่รับจดทะเบียนเครดิตจากทั้งสองโครงการปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยกล่าวว่าโครงการปลูกป่ากระตุ้นให้เจ้าของที่ดินคิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 1,300 ตารางกิโลเมตรหันมาฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในที่ดินของตัวเองในในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำมิสซิสซิปปี้

โครงการจำนวน 47 จาก 50 โครงการตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ อาฟริกา และเอเชีย ซึ่งประกอบด้วยประเทศที่ไม่ได้เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนแต่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และ 7 โครงการในจำนวนนี้ตั้งอยู่ในประเทศบราซิลและเปรู เป็นโครงการที่มีข้อผิดพลาดขั้นพื้นฐานหลายประการทำให้เครดิตที่ผลิตได้เป็นเครดิตขยะ

โครงการชดเชยคาร์บอน 9 โครงการที่ตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย 5 โครงการเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 โครงการเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และอีก 2 โครงการเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลม เครดิตที่ผลิตได้เป็นเครดิตขยะเพราะไม่ก่อให้เกิดการลดก๊าซส่วนเพิ่ม

งานวิจัยพบข้อผิดพลาดขั้นพื้นฐานใน 22 โครงการจากจำนวนโครงการปลูกป่าคาร์บอน 23โครงการในบราซิล โคลัมเบีย อุรุกวัย อินโดนีเซีย เอธิโอเปีย และซิมบับเว

โครงการพลังงานสะอาด 15 จากจำนวน 16 โครงการรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมผลิตเครดิตขยะเนื่องจากโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วไม่ว่าจะมีตลาดคาร์บอนเครดิตหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากพลังงานสะอาดเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอยู่แล้ว ดังนั้นกลไกตลาดมิได้ทำให้เกิดโครงการเหล่านี้และไม่ควรนำมานับเป็นเครดิตเพราะมิได้ทำให้เกิดการลดก๊าซส่วนเพิ่ม

“ผลการศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจตั้งอยู่บนหลักคิดที่ไม่ถูกต้อง เพียงเอื้อให้ภาคธุรกิจในประเทศพัฒนาแล้วสามารถทำธุรกิจและปล่อยมลภาวะต่อไปได้โดยความเสียหายตกอยู่กับประเทศกำลังพัฒนา” นางสาว Souparna Lahiri ที่ปรึกษาด้าน Climate ของ Global Forest Coalition ให้สัมภาษณ์“ ใน 25 ปีที่ผ่านมา ตลาดคาร์บอนและประเทศตะวันตกที่ร่ำรวยไม่ได้ทำอะไรเลยที่จะช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อน นอกจากปกป้องอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลภาวะอย่างหนักและเอื้อหนุนพฤติกรรมการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยมาตลอด และการกระทำเหล่านี้นำไปสู่ความอยุติธรรมทางภูมิอากาศ”

โครงการคาร์บอนเครดิตจำนวนสองในสามหรือ 32 จาก 50 โครงการได้รับการรับรองจากสถาบัน Verra ของสหรัฐอเมริกา เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการรับจดทะเบียนและรับรองเครดิต ซึ่ง 18 โครงการในนั้นเป็นโครงการ Redd+

The Guardian/Corporate Accountability ได้ตรวจสอบเครดิตที่ผลิตโดยโครงการจำนวน 28 จาก 32 โครงการที่ได้รับการรับรองโดย Verra พบว่าเป็นเครดิตขยะ ส่วนอีก 4 โครงการที่เหลือก็มีความเป็นไปได้ที่จะผลิตเครดิตขยะ ที่ผ่านมาสถาบัน Verra เผชิญกับปัญหาการถูกตรวจสอบอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากการใช้ระเบียบวิธีที่มีปัญหาและขาดมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดพอ อย่างไรก็ตาม Verra ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่มีต่อโครงการปลูกป่าโดยให้เหตุผลว่า “เรามีหลักฐานความก้าวหน้าของโครงการ Redd+ ที่ชัดเจน งานวิจัยในปี 2022 แดงให้เห็นว่าโครงการ Redd+ จำนวน 40 โครงการช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าใน 5 ปีแรกของการดำเนินงาน” โฆษกของ Verra ประกาศ

Verra ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นย่อยต่างๆในงานวิจัย เพียงสรุปว่า “บทบาทของ Verra คือการตรวจสอบว่าโครงการคาร์บอนเครดิตเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้เพื่อนำมาขึ้นทะเบียนเป็นเครดิต หลังจากนั้นเจ้าของเครดิตอาจถือครอง จำหน่าย หรือยกเลิกเครดิตได้ตามแต่จะพิจารณา โดย Verra จะให้การสนับสนุนด้านข้อมูล ทบทวนสมมติฐาน และปรับปรุงระเบียบวิธีการตามเสียงสะท้อนและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีเหตุผล”

พบปัญหาเดียวกันในสถาบันรับรองเครดิตรายอื่นๆ

แม้แต่โครงการที่ใช้กลไกพัฒนาพลังงานสะอาดหรือ Clean Development Mechanism (CDM) ซึ่งเป็นกลไกซื้อขายเครดิตระหว่างประเทศที่ริเริ่มโดยสหประชาชาติ เราก็พบว่า 5 ใน 8 โครงการผลิตเครดิตขยะ รวมถึงโครงการเขื่อน Teles Pires ในประเทศบราซิลที่รุกรานที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและการประมง และปล่อยก๊าซเรือนกระจก

CDM เป็นส่วนหนึ่งของพิธีสารเกียวโตที่ทำให้นานาชาติสามารถสนับสนุนโครงการลดคาร์บอนที่ตั้งอยู่ในประเทศอื่นๆเพื่อนับมานับรวมกับเป้าหมายด้านภูมิอากาศของประเทศตนได้ด้วยการปฏิบัติตาม “แนวทางเพื่อการคัดเลือกโครงการที่จะสนับสนุน” จากแถลงการณ์ของโฆษก UNFCCC อย่างไรก็ตาม กลไก CDM ประสบกับคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับการอ้างคุณสมบัติของเครดิตเกินจริงและขาดมาตรการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ทำให้ปริมาณการลดก๊าซส่วนเพิ่มที่วัดได้ขาดความน่าเชื่อถือ ซึ่งทางโฆษกก็ยอมรับโดยกล่าวว่า “ทางสถาบันกำลังออกแบบกลไกรับรองเครดิตใหม่เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือที่เกิดขึ้นในโครงการที่ผ่านมา”

ทว่า UNFCCC มิได้ตอบคำถามของสังคมเกี่ยวกับความกังวลเรื่องประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDM) ที่กำลังเข้ามาแทนที่ CDM และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากองค์กรภาคประชาสังคมนั้นกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามิได้ทำให้เกิดการลดก๊าซที่เป็นรูปธรรมและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบนิเวศและชุมชนท้องถิ่น

ยกตัวอย่างเช่นโครงการสองในสี่โครงการภายใต้ระบบลงทะเบียนที่อ้างอิงทองคำสวิส (Swiss-based Gold Standard Registry หรือ GSR) ได้แก่โครงการเครื่องกรองน้ำในประเทศเคนยาและเตาหุงต้มในประเทศกาน่าที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการเผาไหม้และการตัดไม้ทำลายป่า คาร์บอนเครดิตที่ผลิตได้จากสองโครงการนี้เป็นเครดิตขยะเนื่องจากมีการอ้างปริมาณการลดก๊าซส่วนเพิ่มที่เกินกว่าความเป็นจริง

GSR ออกมาตอบโต้ระเบียบวิธีการวิจัยที่นำมาซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวและแถลงว่า “เราให้ความใส่ใจต่อระเบียบวิธีการวิจัยใหม่ๆอยู่เสมอเพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการของเราเองเพื่อให้เป็นวิธีการที่ถูกต้องและทันสมัยที่สุดเท่าที่มีอยู่ ดังนั้นความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้บ้างจากการลองผิดลองถูกในกระบวนการพัฒนาวิธีการ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีช่องทางรับคำร้องทุกข์ที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการใดโครงการหนึ่งสามารถส่งคำร้องมาที่เราได้ แต่เราก็ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขโครงการไหนได้หากหลักฐานที่พบจากการสืบสวนหาสาเหตุของแต่ละคำร้องนั้นไม่สอดคล้องกัน”

นาง Mary Grady ผู้บริหารของ ACR ขอให้ “ทบทวนการใช้คำว่า ‘กล่าวอ้างเกินจริง’ และ ‘ไม่มีการลดก๊าซส่วนเพิ่ม” ในรายงานเสียใหม่ โดยชี้ว่าได้หักจำนวนต้นไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติออกแล้ว ทั้งนั้นจึงไม่มีการอ้างจำนวนเครดิตเกินจริงและเจ้าของโครงการจะต้องดูแลโครงการต่อไปเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 40 ปีหลังการปลูกต้นไม้

ในปีที่ผ่านมามีบางบริษัทที่เคยซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการเหล่านี้เกิดความคิดริเริ่มที่จะจัดตั้งกลไกชดเชยคาร์บอนเป็นของตัวเองเนื่องจากข้อครหาและภาพลักษณ์ที่ตกต่ำของสถาบันรับรองเครดิตต่างๆ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญออกโรงเตือนว่าจะทำให้การกำกับดูแลคุณภาพเครดิตยิ่งยากขึ้นไปอีก

คาร์บอนเครดิตถูกนำมาโปรโมตเพื่อระดมทุนสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาบรรเทาและตั้งรับปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ และในการประชุม Africa Climate Summit ที่ผ่านมา ชาติตะวันตกได้ให้คำมั่นที่จะสนับสนุนทุนนับร้อยล้านดอลล่าร์เพื่อผลิตคาร์บอนเครดิตในประเทศกำลังพัฒนา

นาง Barbara Haya ผู้อำนวยการโครงการ Berkeley Carbon Trading กล่าวสรุปว่า “มันชัดเจนอยู่แล้วว่าแนวทางบรรเทาปัญหาโลกร้อนที่สำคัญที่สุดได้แก่การลดก๊าซเรือนกระจก ส่วนวิธีการอื่นๆรวมทั้งกลไกลตลาดคาร์บอนนั้นเป็นเรื่องที่เหลวไหล”


อ้างอิง Revealed: top carbon offset projects may not cut planet-heating emissions

Scroll to Top